เอ็กโกทุ่มพันล้านเดินหน้าแผนลงทุน 5 ปี
เอ็กโกวางแผนลงทุน5ปี 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้า 1,000 เมกะวัตต์ เพิ่มสัดส่วนลงทุนต่างประเทศมากขึ้น
เอ็กโกวางแผนลงทุน5ปี 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้า 1,000 เมกะวัตต์ เพิ่มสัดส่วนลงทุนต่างประเทศมากขึ้น
นายวินิจ แตงน้อย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า (เอ็กโก กรุ๊ป ) เปิดเผยถึงแผนการลงทุนในระยะ 5 ปีข้างหน้า (2553-2557 ) กำหนดเงินลงทุนไว้ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3.3 หมื่นล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตฟ้าอีก 1,000 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันที่มีอยู่ 4,252 เมกะวัตต์ โดยให้ความสำคัญกับการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น ส่งผลให้สัดส่วนการลงทุนระหว่างในประเทศกับต่างประเทศอยู่ที่ 70 ต่อ 30 จากปัจจุบันอยู่ที่ 90 ต่อ 10
สำหรับการลงทุนในปี 2553 เตรียมเงินลงทุนขั้นต่ำไว้ 6,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (เอสพีพี) และโรงไฟฟ้าขนาดเล็กมากภายในประเทศ (วีเอสพีพี) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เรื่องสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 55 เมกะวัตต์ ที่จ.ลพบุรีและโรงไฟฟ้าพลังงานลม ที่จ.นครราชสีมา ที่อยู่ระหว่างการศึกษาโครงการ
นอกจากนี้ยังมีแผนลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ การร่วมทุนในโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน ในประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเดือนเม.ย. นี้ ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าน้ำเทิน 2 ในประเทศลาว จะสามารถเดินเครื่องผลิตได้ในปลายเดือนมี.ค.หรือต้นเดือนเม.ย. 2553 และมีแผนที่จะซื้อหุ้นเพิ่มจากกลุ่มอิตาเลียนไทย เพื่อทำให้สัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มจาก 25% เป็น 35%
“ภาพรวมการลงทุนกิจการไฟฟ้ายังมีอัตราการเติบโตที่ดี โดยจะลดสัดส่วนการลงทุนในประเทศภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่จะหันไปลงทุนในโรงไฟฟ้าอาเซียนมากขึ้น ซึ่งการตัดสินใจลงทุนแต่ละโครงการต้องมีความรอบคอบ เพราะเงื่อนไขสัญญาตลอดจนกฎหมายในแต่ละประเทศ มีความเสี่ยงอยู่ โดยเฉพาะสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ตกลงไว้จะต้องทำให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงาน” นายวินิจ กล่าว
นางพิกุล ศรีศาสตรา รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายการเงินและบริการองค์กร เอ็กโก กรุ๊ป กล่าวถึง ผลการดำเนินงานในปี 2552 มีกำไรสุทธิ 7,936 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,009 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2551 โดยคาดว่าจะจ่ายเงินปันผลจากการดำเนินงาน 6 เดือนหลังของปี 2552 ในอัตราหุ้นละ 2.75 บาท ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสินทรัพย์รวม 6.29 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,590 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา