posttoday

บลจ.กสิกรไทย ส่งกองทุน’KPROPIRMF"เติมเต็มทางเลือกเพื่อเกษียณ

06 พฤศจิกายน 2562

เฟ้นหากำไรจากอสังหาฯและโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก ขณะที่กองทุนจะนำรายได้ที่ได้รับกลับเข้าไปลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสะสมผลกำไรในระยะยาว

เฟ้นหากำไรจากอสังหาฯและโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก ขณะที่กองทุนจะนำรายได้ที่ได้รับกลับเข้าไปลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสะสมผลกำไรในระยะยาว

น.ส.ธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯออกกองทุนเปิดเค Property Infra Flexible เพื่อการเลี้ยงชีพ (KPROPIRMF) มีนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์หรือตราสารในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มกิจการโครงสร้างพื้นฐานทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศ สิงคโปร์ อาทิ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (รีท )และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (อินฟราฟันด์) เป็นต้น โดยเปิดเสนอขายครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 12 –20 พ.ย. 2562

ความน่าสนใจของกองทุนดังกล่าว นอกเหนือจากเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีแล้ว ยังเป็นการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศสิงคโปร์ ซึ่งสินทรัพย์ประเภทนี้จะสร้างกระแสเงินสดได้อย่างสม่ำเสมอ (Passive Income) โดยผู้จัดการกองทุนจะนำรายได้ที่ได้รับกลับเข้าไปลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสะสมผลกำไรในระยะยาว

ทั้งนี้ ดัชนีรีท ในไทยและสิงคโปร์มีอัตราเงินปันผลตอบแทน (ดิวิเดนท์ยีลด์) ที่ค่อนข้างสูง โดยจากสถิติ 5 ปีย้อนหลัง (2557 –2562)พบว่า ดัชนีผลตอบแทนรวมของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (PF&REIT Total Return Index)ของประเทศไทยมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 5.60 % ต่อปี

และดัชนี FTSE ST Real Estate Investment Trusts Total Return SGD ของประเทศสิงคโปร์ ให้อัตราเงินปันผลเฉลี่ย 5.64% ต่อปี (ที่มา: บลูมเบิร์ก 5 พ.ย. 62) นอกจากนี้ กองทุนยังมีความยืดหยุ่นในการกระจายและปรับสัดส่วนการลงทุนได้ตามสภาวะตลาด มุ่งสร้างผลตอบแทนปรับด้วยความเสี่ยงเพื่อให้พอร์ตการลงทุนมีเสถียรภาพ

สำหรับตัวอย่างสินทรัพย์ที่กองทุนเข้าไปลงทุน ได้แก่ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทล โกรท (CPNREIT)ที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ประเภทศูนย์การค้าในเครือ CPN  Ascendas Real Estate Investment Trust (Ascendas REIT)ที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทธุรกิจเช่าพื้นที่สำนักงานและอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นรีทรายแรกและรายใหญ่ที่สุดของสิงคโปร์

กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFFIF) ที่ลงทุนในทรัพย์สินกิจการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ รวมถึงการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ทางพิเศษ และท่าอากาศยาน และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท (BTSIF) ที่ลงทุนในกิจการขนส่งทางรถไฟฟ้า (BTS) สายสีเขียว ซึ่งประกอบด้วย สายสนามกีฬาแห่งชาติ – สะพานตากสิน และสายหมอชิต – อ่อนนุช อีกทั้งมีโอกาสสร้างรายได้มากขึ้นจากปัจจัยหนุนของรัฐบาลที่มีแผนขยายเส้นทางอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น

น.ส.ธิดาศิริ กล่าวว่า กองทุนรวมอสังหาฯ และรีท ในช่วงที่ผ่านมาได้ปรับตัวขึ้นมามาก โดยได้รับอานิสงส์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกอบกับภาพเศรษฐกิจโลกที่ยังคงชะลอตัวจากประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ส่งผลให้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งเป็นผลดีต่อการลงทุนในสินทรัพย์ ประเภทนี้

อีกทั้งสินทรัพย์ดังกล่าวยังคงมีรายได้ที่สม่ำเสมอจากค่าเช่า และมีความผันผวนน้อยกว่าหุ้น โดยการลงทุนในกองทุนอสังหาฯและกองรีทของไทยและสิงคโปร์ มีอัตราจ่ายปันผลอยู่ที่ประมาณ 5% ซึ่งสูงกว่าตลาดโดยรวม ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการเข้าลงทุน อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนยังคงต้องติดตามประเด็นสงครามการค้า การปรับตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล รวมถึงเศรษฐกิจที่อาจจะส่งสัญญาณชะลอตัว มากกว่าที่คาดไว้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อค่าเช่าได้