posttoday

กองทุน JASIF ไม่เหงา"จัสมิน-นักลงทุนสถาบัน"พร้อมใส่เงินเพิ่มทุน

31 ตุลาคม 2562

บลจ.บัวหลวง คาดปี 63 ให้ผลตอบแทนที่ 11.5 % จากกำไรเพิ่มขึ้น ทรัพย์สินเดิมได้ต่อสัญญา

บลจ.บัวหลวง คาดปี 63 กองทุน JASIF ให้ผลตอบแทน 11.5 % จากกำไรเพิ่มขึ้น-ทรัพย์สินเดิมได้ต่อสัญญา

เรื่องโดย พูลศรี เจริญ 

...........................................

สิ้นสุดการรอคอย...สำหรับกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน (JASIF) หลังดีเลย์การเพิ่มทุนมานานถึง 2 ปี 

ในวันที่ 7-13 พ.ย.62 กองทุน JASIF จะเปิดจองซื้อหน่วยลงทุนใหม่จำนวนไม่เกิน 2,500 ล้านหน่วย ซึ่งผู้ถือหน่วยเดิมที่มีสิทธิจองซื้อที่ 2.2 หน่วยลงทุนเดิม ต่อ 1 หน่วยลงทุนใหม่ ที่ราคาเสนอขาย 9 บาทต่อหน่วย จะระดมทุนได้ 2.25 หมื่นล้านบาท และเป็นเงินกู้  1.55 หมื่นล้านบาท รวมทั้งหมด 3.8 หมื่นล้านบาท

สำหรับเงินที่ได้จากการเพิ่มทุน กองทุนดังกล่าวจะนำไปลงทุนในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินกิจการโครงสร้างพื้นฐานประเภททรัพย์สินเส้นใยแก้วนำแสง (Optical Fiber Cable)เพิ่มเติมครั้งที่ 1 จำนวนไม่เกิน 700,000 คอร์กิโลเมตร จากบริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ (TTTBB)

ผลดีของการซื้อทรัพย์สินเพิ่มครั้งนี้ จะทำให้กองทุน JASIF มีทรัพย์สินเส้นใยแก้วนำแสง 1,680,500 คอร์กิโลเมตร และทำให้ขนาดกองทุนใหญ่ขึ้น โดยมูลค่าสินทรัพย์สุทธิจะเพิ่มขึ้นเป็น 8.15 หมื่นล้านบาท ก่อนเพิ่มทุนมีมูลค่า 5.9 หมื่นล้านบาท

การเพิ่มทุนก้อนใหญ่ของกองทุนครั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง โดยนายพรชลิต พลอยกระจ่าง รองกรรมการผู้จัดการ Head of Real Estate & Infrastructure Investment บลจ.บัวหลวง กล่าวว่า บริษัทมั่นใจผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมจะจองซื้อหน่วยลงทุนใหม่ โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันที่แสดงความจำนงเกินสิทธิ และบริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS) ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ก็พร้อมเข้าลงทุนเต็มเพดาน 33 %

บลจ.บัวหลวง ได้กางรายชื่อผู้ถือหุ้นของกองทุน JASIF ให้ดู โดย ณ วันที่ 15 ต.ค.62 มีสัดส่วนผู้ถือหน่วยลงทุนเป็นนักลงทุนสถาบันถึง 55% แบ่งเป็น นักลงทุนสถาบันในประเทศ 22% นักลงทุนสถาบันต่างประเทศ 14 % และ JAS ถือ 19% ขณะที่สัดส่วนนักลงทุนรายย่อยกว่า 44% มาจากในประเทศ 25,000 ราย คิดเป็น 43.78% และต่างประเทศ 177 ราย คิดเป็น 0.68%

นายพรชลิต กล่าวว่า จากการลงทุนสินทรัพย์เพิ่มครั้งนี้คาดว่าในปี 2563 จะมีกำไรเพิ่มขึ้นเป็น 8,300 ล้านบาท จากปี 2562 ที่คาดว่าจะมี 5,400 ล้านบาท และคาดว่าเงินปันส่วนแบ่งกำไรต่อหน่วยลงทุน (DPU)ในปี 2563 เพิ่มขึ้นเป็น 1.04 บาท/หน่วย จากปี 2562 ที่คาด 0.99 บาท/หน่วย

"คาดว่าปี 2563 อัตราผลตอบแทน (ยีลด์) จะเพิ่มมาเป็น 11.5% (อิงราคาหน่วยลงทุนปัจจุบันที่ 9 บาท/หน่วย) ขณะที่ปีนี้คาดว่ายีลด์อยู่ที่ 8.3% บนราคา 11 บาท/หน่วย เหตุผลที่อัตราผลตอบแทนดีขึ้น เพราะ DPUดีขึ้น "

นอกจากนี้นายพรชลิต กล่าวว่า ในภาวะอัตราดอกเบี้ยในตลาดอยู่ในระดับต่ำและประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยจะยังต่ำอยู่ในช่วง 1-2 ปี กองทุน JASIF น่าจะตัวเลือกในการลงทุนเพราะนอกจากอัตราผลตอบแทนอยู่ในระดับดี ซึ่ง JASIF ถือเป็นกองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ให้อัตราผลตอบแทนดีเป็นอันดับ 2 ของทั้งหมดที่มี 8 กองทุน และเงินปันผลที่ได้รับยังสามารถยกเว้นภาษี ได้อีก 5 ปี หลังจาก JASIF ได้จ่ายเงินปันผลไปแล้ว 5 ปี

มาดูประวัติการจ่ายเงินปันผลของกองทุน JASIF ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ถือได้ว่าฟอร์มดีทีเดียว โดยจ่ายเงินปันผลและเงินลงทุนแล้ว รวม 4.07 บาท/หน่วย หรืออัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 8-9% ต่อปี

นอกจากนี้ JASIF ได้รับการต่ออายุสัญญาเช่าจาก TTTBB ของทรัพย์สินเส้นใยแก้วนำแสง สัดส่วน 80% ของสินทรัพย์ครั้งแรก ที่มี 980,000 คอร์กิโลเมตร ที่จะหมดสัญญาในวันที่ 22 ก.พ.2569 ขยายออกไปหมดอายุในวันที่ 22 ม.ค.2575 จากกรณีนี้ บลจ.บัวหลวง คาดว่า จะช่วยให้กองทุน JASIF มีรายได้เข้ามาเพิ่มขึ้นอีก 6 ปีข้างหน้า และTTTBB จะรับผิดชอบการนำเส้นใยแก้วนำแสงลงดิน และบำรุงรักษา จากเดิมบลจ.บัวหลวง ตั้งสำรองค่าใช้จ่ายในการนำเส้นใยแก้วนำแสงลงดินและบำรุงรักษาเดือนละ 80 ล้านบาท

รวมทั้งยังมีโอกาสที่ JAS จะขายทรัพย์สินเส้นใยแก้วนำแสงที่มีอยู่อีก 200,000 คอร์กิโลเมตร สำหรับอายุการใช้งานของเส้นใยแก้วนำแสงถึง 35 ปี ขณะที่ทรัพย์สินที่ JASIF ลงทุนมีอายุเฉลี่ย 3 ปี

ในขณะเดียวกัน กองทุน JASIF มีโอกาสเติบโตการต้องการใช้อินเทอร์เน็ตสูงขึ้น โดยปัจจุบันอัตราการเข้าถึงในไทยอยู่ที่ 40% ของจำนวนประชากร ซึ่งถือว่าต่ำกว่าประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย ไต้หวัน

รวมทั้งการพัฒนาเทคโนโลยี 5G รวมถึง WiFi6 และ Internet of Thing (IoT) การให้บริการคอนเทนต์ระดับไฮเอนด์ นโยบายรัฐบาลผลักดันโครงการให้มีอินเทอร์เน็ตใช้งานทุกหมู่บ้าน และการใช้บริการอินเทอร์เน็ตแบบไร้สายและบรอดแบนด์แบบมีสาย (Fixed Broadband) เติบโตควบคู่กันไป โดย TTTBB มีส่วนแบ่งการตลาดที่ 32% ซึ่งเป็นอันดับ 2 ของตลาด

ส่วนกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ลงโทษผู้บริหาร JAS ความผิดฐานสร้างราคาหุ้น รวมถึงราคากองทุน JASIF ในตลาดได้ปรับตัวลดลงนั้น นายพรชลิต กล่าวว่า เรื่องนี้กองทุน JASIF ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย เพราะไม่ได้ลงทุนในหุ้น แต่ลงทุนทรัพย์สินจาก JAS ซึ่งทรัพย์สินมีลูกค้าอยู่แล้ว ส่วนราคา JASIF ในตลาดปรับตัวลงตามภาวะตลาดที่ปรับตัวลง ขณะที่ JAS จะได้รับเงินจากการขายทรัพย์สินให้กองทุน JASIF จำนวน 3.8 หมื่นล้านบาท หลังจากเปิดจองซื้อหน่วยลงทุนไปแล้ว 1 สัปดาห์