posttoday

กองรีททั่วโลก หุ้นเฮลธ์แคร์ ฝ่าเศรษฐกิจชะลอ ดอกเบี้ยต่ำ หุ้นผันผวน

18 กันยายน 2562

ทิสโก้เวลธ์   แนะเหมาะลงทุนในสถานการณ์ปัจจุบัน เปิดสถิติกลุ่มเฮลธ์แคร์ รอดพ้นจากตลาดหุ้นดิ่งแรงได้ในทุกวิกฤต

ทิสโก้เวลธ์ แนะเหมาะลงทุนในสถานการณ์ปัจจุบัน เปิดสถิติกลุ่มเฮลธ์แคร์ รอดพ้นจากตลาดหุ้นดิ่งแรงได้ในทุกวิกฤต 

นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ หัวหน้าที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ เปิดเผยว่า สัญญาณบ่งบอกถึงเศรษฐกิจถดถอยในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าเริ่มมีความชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ หลังอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกชะลอตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี โดยเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกอย่างสหรัฐฯ เริ่มเห็นสัญญาณชะลอตัวลงของการจ้างงาน

จากความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ทิสโก้เวลธ์ยังคงแนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่ดำเนินธุรกิจสอดคล้องไปกับกระแสหลักของโลก หรือ หุ้นกลุ่มเมกะเทรนด์ เนื่องจากผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนเหล่านี้มักจะไม่ผันผวนไปตามวัฏจักรเศรษฐกิจ โดยมีสินทรัพย์การลงทุนที่น่าสนใจลงทุน 2 กลุ่ม คือ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (รีท) ที่ได้ประโยชน์จากกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอและการย้ายถิ่นฐานเข้าสู่เมืองหลวงและเขตหัวเมืองใหญ่ และหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์ ที่ได้ประโยชน์จากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของหลายประเทศทั่วโลก

จุดเด่นของการลงทุนในรีท คือสามารถจ่ายผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลได้ในระดับสูง สม่ำเสมอและมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างราคา (แคปปิตอล เกน) ในระดับสูงเหมือนกับการลงทุนในหุ้น แต่มีความผันผวนน้อยกว่าการลงทุนในหุ้น พร้อมทั้งมีโอกาสเติบโตจากการย้ายถิ่นฐานเข้าสู่เมืองหลวงและเขตหัวเมืองใหญ่

หากอ้างอิงจากผลวิจัยขององค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) บ่งชี้ว่า ในปี 2593 (31 ปีข้างหน้า) ประชากรโลกจะอาศัยอยู่ในเมืองหลวงและเขตหัวเมืองใหญ่เพิ่มเป็น 68.36% เติบโตจากระดับเพียง 29.61% ในปี 2493 นำโดย สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นจาก 53.4% และ 76.16% ในปี 2493 เพิ่มขึ้นเป็น 94.71% และ 90.97% ในปี 2593 ตามลำดับ ซึ่งจะส่งผลบวกโดยตรงต่อราคาและความต้องการเช่าพื้นที่ของอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ค่าเช่าในภาพรวมเติบโตสูงขึ้นและส่งผ่านมายังผลประกอบการของกองรีททั่วโลก

นายณัฐกฤติกล่าวอีกว่า สำหรับข้อดีของหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ คือ สามารถรอดพ้นจากการปรับตัวลดลงอย่างหนักของตลาดหุ้นได้ในทุกช่วงวิกฤต โดยในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ทั้ง 3 ครั้งในปี 2533, 2544 และ 2551 กำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรม เฮลท์แคร์ ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องที่ระดับ 9%, 9% และ 4% ตามลำดับ

ในขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียนของบริษัทในดัชนี S&P500 ปรับตัวลดลงถึง 28%, 22% และ 36% ตามลำดับ และในช่วงปี 2543 และปี 2551 นั้น ราคาหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ในตลาดS&P500 ปรับตัวลดลงเพียง 2% และ 17% ตามลำดับ และเมื่อเทียบกับดัชนี S&P500 ที่ปรับตัวลดลง 33% และ 40% ตามลำดับ สะท้อนว่าหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์สามารถทำผลการงานได้ดีกว่าถึง 31% และ 23% เลยทีเดียว

นางวรสินี เศรษฐบุตร หัวหน้าฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ สายธุรกิจธนบดี ธนาคารทิสโก้ เปิดเผยว่า ปัจจุบันทิสโก้เวลธ์มีกองทุนแนะนำสำหรับจัดพอร์ตการลงทุนตามระดับความเสี่ยง คือ เสี่ยงต่ำมาก เสี่ยงต่ำ เสี่ยงปานกลาง เสี่ยงสูง เสี่ยงสูงมาก โดยคัดเลือกกองทุนเด่น 12 บลจ.ชั้นนำ และต้องเป็นกองทุนที่เหมาะกับสถานการณ์การลงทุนในช่วงนั้นๆ พร้อมนำมาจัดเป็นพอร์ตการลงทุนตามคำแนะนำของทีม TISCO Wealth Advisory โดยมุ่งสร้างผลตอบแทนเหนือดัชนีชี้วัด ซึ่งการคัดเลือกกองทุน และจัดพอร์ตลงทุนในลักษณะนี้จะช่วยสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีให้กับลูกค้า

สำหรับกองทุนเด่นในเดือนกันยายน ทิสโก้เวลธ์แนะนำลงทุนในกองทุนเด่นที่เกี่ยวข้องกับเมกะเทรนด์ของโลก อย่างกองทุนที่ลงทุนในรีททั่วโลก และหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ ซึ่งทนทานต่อความผันผวนของเศรษฐกิจได้ดีกว่าหุ้นทั่วไป โดยมีกองทุนแนะนำ 3 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิด ทิสโก้ โกลบอล ดิจิตอล เฮลธ์ อิควิตี้ (TGHDIGI)กองทุนเปิด เคแทม เวิลด์ เฮลธ์แคร์ ฟันด์ ชนิดสะสมมูลค่า (KT-HEALTHCARE-A) และกองทุนเปิด ทิสโก้ โกลบอล รีท (TGREIT) เน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ และบริษัทที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก และเน้นลงทุนในประเทศที่พัฒนาแล้ว ได้แก่ สหรัฐฯ อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี ประเทศอื่นๆ ในทวีปยุโรป ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฮ่องกง ออสเตรเลีย 

นางวรสินี กล่าวต่อว่า ปัจจุบันทิสโก้เวลธ์มีสินทรัพย์ภายใต้การให้คำแนะนำ (AUA) เฉพาะส่วนของกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนเกี่ยวกับเฮลธ์แคร์ และรีทกว่า 3,200 ล้านบาท โดยตั้งเป้าในปี 2563 จะมี AUA รวมเพิ่มขึ้น 10% โดยเป็นการเติบโตจากสินทรัพย์ภายใต้การให้แนะนำ และการขยายกลุ่มลูกค้าไปยังลูกค้าระดับกลางมากขึ้น จากเดิมจะเน้นลูกค้าที่มีความมั่งคั่งสูงเป็นหลัก พร้อมทั้งเพิ่มช่องทางการซื้อขายสับเปลี่ยนกองทุนผ่านแอปพลิเคชันซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงกลางปี 2563