posttoday

1 เล่ม 1 บทเรียนเปลี่ยนชีวิต

03 ตุลาคม 2561

ผมเองเป็นคนชอบอ่านหนังสือ ไม่ว่าจะแนวไหน อย่างไร อ่านได้หมด

โดย...จักรพงษ์ เมษพันธ์ุ

ผมเองเป็นคนชอบอ่านหนังสือ ไม่ว่าจะแนวไหน อย่างไร อ่านได้หมด ทั้งการพัฒนาตนเอง การเงิน จิตวิทยา การตลาด การเมือง กีฬา หนังสือเด็ก นิยายไทย นิยายฝรั่ง รวมไปถึงกำลังภายใน และอื่นๆ

นอกจากชอบอ่านแล้ว ผมยังชอบที่จะทำงานกับหนังสืออีกด้วย ทั้งงานเขียน งานแปล และงานบรรยาย เรียกได้ว่า เวลาส่วนหนึ่งของชีวิตผม มีหนังสือเป็นเพื่อนเสมอ

ไม่เพียงแต่อ่านเองรู้เอง เพราะโดยปกติผมมักจะแบ่งปันนิสัยรักการอ่านไปยังคนรอบๆ ตัวด้วย นัยว่าพูดคุยเรื่องอะไร ก็มักจะหยิบยกคำเด็ดๆ ประโยคดีๆ แล้วเลยพานไปถึงชวนให้อ่าน ด้วยความรู้สึกปรารถนาดี โดยไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับหนังสือที่แนะนำแต่อย่างใด (เว้นแต่หนังสือที่เขียนหรือแปลเอง…555)

อย่างไรก็ดี ความจริงข้อหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยก็คือ “แม้จะอ่านหนังสือจบแล้ว อ่านได้เยอะ แต่หากไม่ได้เรียนรู้ และนำไปใช้กับตัวเองได้ ก็ถือได้ว่ายังไม่ได้อ่านนั่นแหละ” และยิ่งอ่านเยอะอ่านแยะ แต่ไม่ได้เอาไปใช้เลย อันนี้ก็คงไม่ต่างอะไรกับคนที่อ่านหนังสือไม่ออก เพราะมันก็เหมือนกับยังไม่ได้อ่านอยู่ดี (รู้แล้วไม่ทำ = ยังไม่รู้)

ครั้งหนึ่งผมไปบรรยายที่โรงไฟฟ้าแม่เมาะ จ.ลำปาง จำได้ว่าขณะที่รถรับรองผมวิ่งผ่านแยกก่อนเข้าสู่ตัวเมือง จะมีป้ายขนาดใหญ่อันหนึ่ง แสดงพระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระเทพฯ พร้อมข้อความที่ท่านเคยตรัสพระราชทานให้ไว้ เป็นตัวหนังสือขนาดใหญ่ เขียนไว้ว่า

“หนังสือเปลี่ยนชีวิตคนเราได้”

อ่านแล้วรู้สึกเลยว่าจริงนะครับ เพียงแค่ทุกครั้งที่ท่านอ่านหนังสือจบ 1 เล่ม ก็ให้ลองสรุปบทเรียนที่ได้จากหนังสือทั้งเล่ม เอาแค่เรื่องเดียว บทเรียนเดียวก็พอ ที่คิดว่า “ชอบ”​ เน้นว่าชอบ เพราะเมื่อชอบ จะได้อยากเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์

1 เล่ม 1 บทเรียนเปลี่ยนชีวิต

เมื่อได้บทเรียนแล้วก็นำมาปรับใช้กับการดำเนินชีวิตจริง ทั้งนี้ทั้งนั้นจะต้องลองนำไปทำจนเกิดผลจริงๆ ด้วย ไม่ใช่ทำแค่ไม่กี่ครั้ง ไม่กี่วันก็เลิก อันนี้ยิ่งเสียเวลากันไปใหญ่

ยกตัวอย่าง หนังสือเล่มหนึ่งที่ผมชอบมาก เพราะเป็นพื้นฐานการเงินง่ายๆ นั่นคือ “เศรษฐีชี้ทางรวย” หรือ The Richest Man in Babylon เล่มหนึ่งราคาประมาณ 100 บาท แต่อ่านแล้วเปลี่ยนแปลงอนาคตและเป็นจุดเริ่มต้นสู่อิสรภาพทางการเงินของผมได้อย่างง่ายๆ

บทเรียนที่ได้ตั้งแต่อ่านครั้ง​แรกก็คือ “เก็บออมหนึ่งในสิบของเงินที่หามาได้ (10%)” อ่านจบผมก็เริ่มเลย เงินเดือนเดือนถัดไปกันไว้ 10% สิ้นเดือนเอาไปฝากธนาคาร

ทำอยู่ได้ 3 เดือน เริ่มไม่เหลือฝาก ผ่านไป 2 เดือนก็แล้ว 3 เดือนก็แล้ว เงินก็มีอยู่แค่ 3 เดือนแรกที่ยังฟิตอยู่นั่นแหละ แถมยังแอบคุยทับกับตัวเองไว้ด้วยว่า ขาดส่งเข้าบัญชี 3 เดือน ไม่เป็นไร เดี๋ยวโบนัสออก โปะทีเดียวก็เรียบร้อย

แล้วก็เรียบร้อยจริงๆ ไม่ได้ฝากเพิ่มไม่เท่าไร ถอนเงิน 3 เดือนแรกออกมากินฉลองสิ้นปีด้วยนี่สิ … 555

ผ่านไปค่อนปี ไม่มีเงินเหลือเลย เอาใหม่ คราวนี้ “หักก่อนใช้จ่าย” บ้าง คราวนี้เปิดแต่บัญชี ไม่ทำเอทีเอ็มด้วย จะได้ถอนยากๆ

คราวนี้ดูดีกว่าครั้งก่อน เพราะหักก่อนใช้ เช่น ได้เงินเดือน 3 หมื่น หักก่อนเลย 3,000 เอาไปฝากธนาคารไว้ วิธีนี้ทำให้รู้สึกดีกับตัวเองมาก เพราะเงินเดือนออกวันไหน ก็กันเงินฝากสำหรับอนาคตมันเลยวันนั้น

ผ่านไป 6 เดือน ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง (ที่เลว) เริ่มรู้สึกช้าได้ Late ได้ เงินออกวันนี้ ไว้ไปเข้าธนาคารพรุ่งนี้ก็ได้ มะรืนก็ได้ อาทิตย์หน้าก็ได้ สุดท้ายก็เข้าอีหรอบเดิม คือใช้จนหมดไม่ได้ฝาก

ที่เลวร้ายกว่านั้น คือ 6 เดือนที่เก็บได้ก็แค่ร่วม 2 หมื่น พออยากได้โน่นอยากได้นี่เข้าก็ถอนไปใช้ เลยรู้ว่าการไม่มีเอทีเอ็มมิได้ป้องกันตัวเองจากการถอนเงินมาใช้แต่อย่างใด

สุดท้ายมาสรุปกับตัวเอง ถ้า 10% มันเหลือบ่ากว่าแรงนัก (เพราะการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยสำหรับผมตอนนั้นมันเป็นมากกว่า “นิสัย” (ยกระดับสู่สันดานโดยสมบูรณ์)) ก็เริ่มแค่ 5% ก่อน แล้วด้วยนิสัยที่ไม่ดี กันเงินเองไม่ได้ มีเงินอยู่ต้องใช้ ไม่รู้เป็นอะไร ก็เลยตัดสินใจเปิดบัญชีกองทุนรวม (ตอนนั้นลงกองตราสารหนี้) ให้ธนาคารหักเงินเดือน 5% ไปลงทุนให้เลยหลังวันเงินเดือนออก 1 วัน

พูดให้ง่ายเข้า คือ ทำให้มันอัตโนมัติเสียเลย จะได้ไม่ต้องควบคุมใจอันติดกิเลสของตน ใช้หลักง่ายๆ ว่า “เงินที่มองไม่เห็น คือ เงินที่ไม่ได้ใช้” ตั้งแต่นั้นมาเลยง่าย ทำให้พอมีเงินเก็บ เงินออมกับเขาบ้าง

นี่เป็นหนึ่งในการประยุกต์ใช้บทเรียนจากหนังสือ กับชีวิตประจำวันของผม

คุณผู้อ่านเองก็เหมือนกันนะครับ ทุกครั้งที่อ่านหนังสือจบ อย่าให้มันเป็นเพียงอีกหนึ่งเล่มที่อ่านจบไป แต่ขอให้เป็นอีกหนึ่งเล่มที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเราไปในทางที่ดีได้ตลอดกาล อย่างน้อยก็อีก 1 มิติในชีวิต

แค่ 1 Book 1 Lesson สำหรับหนอนหนังสือทุกท่าน รับรองได้ว่าชีวิตของคุณจะเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างมากมาย