รับมือโดนฟ้อง ล้มละลาย
ข่าวใหญ่ สมรักษ์ คำสิงห์ “ฮีโร่” ของคนไทย ถูก “พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด” ทำให้หลายคนเข้าใจว่า “ล้มละลาย”
โดย...ชัตน์วรี
ข่าวใหญ่ สมรักษ์ คำสิงห์ “ฮีโร่” ของคนไทย ถูก “พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด” ทำให้หลายคนเข้าใจว่า “ล้มละลาย” และอีกหลายคนที่มีชื่อเสียงก็ถูกฟ้อง “พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด” และในที่สุดก็ถูก “ล้มละลาย” ก็เห็นมีข่าวออกอยู่บ่อยๆ
สาเหตุส่วนใหญ่ที่ “ล้มละลาย” มักเกิดจากเป็นการผิดพลาดทางธุรกิจ เป็นหนี้สินไม่จ่ายชำระหนี้คืนก็ถูกเจ้าหนี้ฟ้องดำเนินคดี ยึดทรัพย์เพื่อนำมาขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้คืนเจ้าหนี้
“สมรักษ์” เองก็ “อ่อนซ้อม” และมีลูกหนี้จำนวนมากที่เข้าใจผิดคล้ายๆ กับกรณีของ “เทพ โพธิ์งาม” ว่ากู้เงินซื้อบ้านมาแล้ว แล้วไม่ผ่อนต่อคิดว่าเจ้าหนี้จะมายึดทรัพย์ก็หมดหนี้กันไป แต่ความเป็นจริงไม่ใช่เช่นนั้น เพราะดอกเบี้ยยังเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ ยอดหนี้พอกพูน จนในที่สุดเจ้าหนี้ฟ้องศาล เพื่อยึดทรัพย์มาขายทอดตลาด หากขายได้แล้วได้เงินไม่เพียงพอชำระหนี้ เจ้าหนี้มีสิทธิที่จะเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้อีก หรือติดตามทรัพย์อื่นมาขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ส่วนที่เหลือ
อย่างเช่น สมรักษ์ที่ให้สัมภาษณ์ว่า เป็นหนี้เรื่องบ้าน 4 ล้านกว่าบาท ส่งบ้านไปแล้ว 3.5 ล้านบาท แต่เจ้าหนี้ยังมาทวงว่ายังต้องจ่ายค่าดอกเบี้ยอีกรวม 9 ล้านบาท ทำให้เขาไม่จ่ายหนี้ ในที่สุดก็เข้าสู่กระบวนการฟ้องร้อง...
กว่าจะถึงขั้นฟ้องล้มละลาย...
เมื่อลูกหนี้ถูกฟ้องคดีศาลจะทำการพิจารณาสืบพยานหลักฐานให้ได้ความจริง และศาลจะมีคำสั่ง “พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดลูกหนี้”
เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์แล้วถือว่าเป็นเพียงการเริ่มต้นของคดีล้มละลาย...ซึ่งศาลจะยังไม่ได้มีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายในทันที
ในกรณีดังกล่าว ทำให้ลูกหนี้ที่รับราชการยังไม่ขาดคุณสมบัติการเป็นข้าราชการ และยังคงรับราชการต่อไปได้จนกว่าศาลจะพิพากษาให้ล้มละลาย
และเมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ ไม่ว่าจะกรณีพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราวหรือเด็ดขาด ศาลจะส่งหมายแจ้งคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบ
ตามกฎหมายล้มละลายระบุที่เข้าข่ายฟ้องล้มละลายได้ คือ
กรณีเป็นบุคคลธรรมดา - ที่มีหนี้สินเกิน 1 ล้านบาท
นิติบุคคล - ที่มีหนี้เกิน 2 ล้านบาท
หรือผู้ที่เข้าข่ายว่า “มีหนี้สินล้นพ้นตัว” หรือ “ไม่มีความสามารถที่จะชำระหนี้ได้”
หลายคนอาจจะสงสัย “ล้มละลาย” แล้วจะทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างไร มาเรียนรู้ไปพร้อมกัน
การเป็นบุคคลล้มละลายจะมีผล...
- ไม่สามารถทำนิติกรรม นิติกรรมสัญญา ใดๆ ทั้งสิ้นได้ รวมถึงธุรกรรมการเงินต่างๆ เช่น เปิดบัญชีธนาคาร เป็นต้น
- ไม่สามารถดำรงตำแหน่งในบริษัทหรือห้างร้านต่างๆ ได้อีกด้วย ซึ่งในส่วนของการดำรงตำแหน่งนี้ หากมีความจำเป็นก็จะต้องได้รับอนุญาตจากศาลเสียก่อนจึงจะสามารถดำรงตำแหน่งได้
- ไม่สามารถรับราชการ หรือถ้ารับราชการอยู่จะต้องออกจากราชการ หรือต้องออกจากงาน ในกรณีที่บริษัทนั้นมีเงื่อนไขระบุว่าพนักงานต้องไม่เป็นบุคคลล้มละลาย
-ไม่สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้ หากมีความจำเป็นต้องเดินทางไปจริงๆ ก็ต้องขออนุญาตจากพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สินก่อน
- เมื่อมีรายได้เท่าไร และนำส่งรายได้เพื่อชำระหนี้ ส่งเข้ากองทรัพย์สินด้วย
เมื่อศาลมี “คำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์” แล้วลูกหนี้ต้องทำอย่างไร ?
1.ต้องไปพบเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อไปสาบานตัว และให้ถ้อยคำชี้แจงเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สิน พร้อมทำบัญชีแสดงกิจการและทรัพย์สิน
2.ต้องส่งมอบทรัพย์สิน บัญชี ดวงตราห้างหรือบริษัท และเอกสารต่างๆ ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
3.ขอประนอมหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนด 7 วัน นับแต่วันยื่นคำชี้แจงเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สิน หรือภายในเวลาตามที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้กำหนดให้ หรือขอประนอมหนี้ภายหลังล้มละลายภายในเวลาที่กำหนด
4.ไปประชุมเจ้าหนี้ทุกครั้งเมื่อได้รับแจ้งกำหนดวันนัดจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
5.ไปให้ศาลไต่สวนลูกหนี้โดยเปิดเผยเมื่อได้รับแจ้งวันกำหนดนัดจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
6.ทำบัญชีรับ-จ่ายทุก 6 เดือน นับแต่ถูกศาลพิทักษ์ทรัพย์แจ้งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทุกครั้งเมื่อย้ายที่อยู่ใหม่
7.เดินทางไปต่างประเทศจะต้องขออนุญาตจากศาล หรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามความจำเป็นและสมควรแก่ฐานะ
8.ขอค่าเลี้ยงชีพจากเงินได้มาในระหว่างถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามความจำเป็นและสมควร
9.ลูกหนี้ยังมีสิทธิที่จะยื่นคำขอประนอมหนี้ ไม่ว่าก่อนการล้มละลายหรือภายหลังการล้มละลายแล้ว
10.กรณีที่ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็สามารถยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลได้
ส่วนการเสียสิทธิ เช่น กรณีลูกหนี้ไม่ไปให้การสอบสวนเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สินตามหมายเรียกของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ หรือไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในการรวบรวมทรัพย์สินโดยไม่มีเหตุอันสมควร ลูกหนี้อาจถูกฟ้องล้มละลาย รวมถึงการขยายระยะเวลาปลดจากการล้มละลายตามกฎหมาย
ระยะเวลาเท่าใดจึงจะพ้นสภาพการเป็นบุคคลล้มละลาย?
การถูกสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลายนั้นจะมีระยะเวลา 3 ปี เมื่อครบกำหนดก็จะถูกปลดจากการเป็นบุคคลล้มละลาย ยกเว้นกรณีที่ไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหนี้ ก็อาจจะมีการขยายเวลาเป็น 5 ปี หรือ 10 ปีก็ได้
เมื่อครบกำหนดระยะเวลา 3 ปี ก็ให้บุคคลล้มละลายติดต่อกับเจ้าหน้าที่พิทักษ์ทรัพย์สินเพื่อขอปลดจากการเป็นบุคคลล้มละลาย หลังจากปลดจากการเป็นบุคคลล้มละลายแล้ว ก็จะสามารถทำงานและทำธุรกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ
หลังถูกปลดจากการเป็นบุคคลล้มละลาย หนี้จะหมดไปด้วยหรือไม่?
สำหรับบุคคลล้มละลายที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการเข้าให้การและเข้าพบเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นั้น เมื่อครบกำหนดเวลาก็จะถูกปลดจากการล้มละลายทันที ซึ่งคำสั่งปลดจากการล้มละลายนี้ จะส่งผลให้บุคคลล้มละลายนั้นหลุดพ้นจากหนี้สินทั้งปวงด้วย ยกเว้นแต่หนี้สินที่เกี่ยวข้องกับภาษีอากร หรือหนี้สินที่เกิดขึ้นจากการทุจริต ฉ้อโกงของบุคคลล้มละลาย ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 81/1
ใครที่ผิดพลาดเรื่องหนี้สินมาแล้ว ขอเป็นกำลังใจเริ่มต้นใหม่ หันหน้ามาเจรจาประนอมหนี้กับเจ้าหนี้ ซึ่งปัจจุบันมีหลายหน่วยงานที่พร้อมจะเข้ามาช่วยเหลือ เช่น กรมบังคับคดี ที่เปิดช่องทางไกล่เกลี่ยหนี้ก่อนที่จะมีการอายัดทรัพย์สิน หรือที่ให้ตกเป็น “บุคคลล้มละลาย” ก็ไม่เป็นไร “ล้ม” ได้ก็ “ลุก” ได้ ขอเป็นกำลังใจให้ลูกหนี้ทุกคน