เล่นหุ้นที่เข้าใจ The Circle of Competent
ความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดของการลงทุนก็คือ “ความไม่รู้” ความไม่เข้าใจในสิ่งที่เราลงทุน ...
โดย...คณิต นิมมาลัยรัตน์ (นายแว่นลงทุน)
ความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดของการลงทุนก็คือ “ความไม่รู้” ความไม่เข้าใจในสิ่งที่เราลงทุน ... ถ้าเรามองการลงทุนเหมือนเราร่วมทำธุรกิจ เราก็ต้องรู้เรื่องธุรกิจที่เราจะทำ ไม่ใช่ไม่รู้ว่าธุรกิจที่เราทำมาหาได้จากตรงไหน รายได้มายังไง มีต้นทุนเท่าไร กำไรหรือไม่อย่างไร ถ้าเป็นแบบหลังถือว่าเรากำลัง “เสี่ยง” โดยที่เราอาจไม่รู้เนื้อรู้ตัว
การเล่นหุ้นที่เราเข้าใจและรู้จักมันดี จึงเป็นการลดความเสี่ยงไปในตัว เรามาดูกันดีกว่าว่าทำไมเราจึงควรเล่นหุ้นที่เราเข้าใจเท่านั้น และควรรู้อะไรบ้าง ติดตามกันเลยครับ
ประการแรก “เราควรรู้ว่ากิจการที่เราลงทุนทำอะไร”
หากเราลงทุนในสิ่งใดโดยไม่รู้ว่าเขาทำกิจการอะไร มันก็คล้ายๆ จะเป็นการพนันราคาหุ้นว่ามันจะขึ้นหรือลงเพียงอย่างเดียว ซึ่งในสายเทคนิคอลที่ใช้เครื่องมืออย่าง “กราฟราคาหุ้น” สามารถทำได้ และมีคนประสบความสำเร็จได้จริงๆ แต่ในสายนักลงทุนแนวพื้นฐาน เราจะไม่สนใจแค่ราคาหุ้นแต่เพียงอย่างเดียวนะครับ
สำหรับนักลงทุนแนวพื้นฐาน เราต้องทำความรู้จักกับหุ้นที่เราถือ เปรียบเหมือนเราจะคบใครสักคนเป็นเพื่อนหรือเป็นคู่ครอง เราก็ต้องดูให้ดีว่าเขาเป็นคนยังไง ถ้าเป็นหุ้นก็ต้องรู้ว่าเขาทำกิจการอะไร และกิจการนั้นมีอนาคตหรือไม่ อย่างไรนั่นเองครับ
ประการที่สอง “เราควรรู้ว่ารายได้ของกิจการมาจากทางไหนบ้าง”
หากเราคิดจะร่วมลงทุนทำธุรกิจกับใคร เรายังต้องศึกษาให้ลึกว่ากิจการนั้นจะทำเงินได้หรือเปล่า เช่นเดียวกับหุ้นก็เหมือนกิจการหนึ่งที่ต้องทำเงิน จากการหารายได้ จากการขายสินค้า และบริการต่างๆ เฉกเช่นเดียวกัน
สำหรับแหล่งรายได้ของกิจการที่เราลงทุน เราควรแยกแยะให้เห็นชัดเจนว่ารายได้หลักมาจากทางไหนบ้าง เป็นรายได้ประจำหรือไม่ หรือเป็นแค่รายได้ชั่วคราว ... ทริกเล็กๆ ของการมองภาพโครงสร้างรายได้ของกิจการก็คือ ... รายได้ที่ดีควรเป็นรายได้ประจำสม่ำเสมอ และมีสินค้าหรือบริการที่สามารถสร้างรายได้ได้เรื่อยๆ หรือเป็น Recurring Income นั่นจะดีมากๆ
ประการที่สาม “เราควรรู้สถานะทางการเงินของบริษัท”
นักลงทุนสามารถเข้าไปตรวจสอบสถานะทางการเงินของแต่ละบริษัทที่เราลงทุนได้ โดยดูที่ “งบดุล” ของกิจการ เราจะได้รู้ว่าเขามีสินทรัพย์อะไรบ้าง มากน้อยแค่ไหน มีหนี้สินเท่าไร หลายคนลงทุนโดยไม่รู้ว่าหุ้นที่ตนถือมีหนี้สินล้นพ้นตัว และอาจจะต้องเพิ่มทุนเร็วๆ นี้ ก็เป็นไปได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญกว่าสถานะทางการเงินก็คือ การที่กิจการมีความแข็งแกร่ง หลายครั้งกิจการมีหนี้สินมาก แต่อาจไม่ใช่ปัญหาในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจการกึ่งผูกขาดที่ยังอยู่ในช่วงต้นๆ ของการเติบโต หากเราไม่คำนึงถึงปัจจัยนี้ประกอบ เราอาจพลาดหุ้นดีๆ ตอนราคายังเป็นต้นกล้าก็เป็นได้นะครับ
ประการที่สี่ “เราควรรู้ว่ากระแสเงินสดของกิจการดีหรือไม่อย่างไร”
สิ่งที่สำคัญกว่ากำไรของกิจการก็คือ “กระแสเงินสด” หลายครั้งเราไปเจอกิจการที่กำไรดูดี แต่กระแสเงินสดติดลบ พอกระแสเงินสดติดลบนานวันเข้าก็จะเกิดปัญหาตามมาภายหลัง อาจจะขาดสภาพคล่องหรือมีหนี้มาก ทำให้มีภาระดอกเบี้ยจ่ายสูงนานเกินไป
สำหรับกิจการที่กระแสเงินสดเป็นบวกติดต่อกันทุกไตรมาสหรือทุกๆ ปี จะทำให้สภาพคล่องของกิจการสูงมาก และสุดท้ายมันจะ “ล้น” ไปที่กำไรสุทธิ โดยที่ไม่ต้องตกแต่งบัญชีแต่ประการใด หากเราพบเจอกับกิจการที่กระแสเงินสดดีๆ รีบคว้าไว้ก่อนมันจะขึ้นแรง ส่วนใหญ่แล้วกิจการเหล่านี้มักจะขายเงินสด แต่ซื้อเป็นเงินเชื่อนั่นเองครับ
ข้อสรุปก็คือ ... การที่เราจะรู้จักหุ้นสักตัวนั้นมันไม่ง่ายเลย สำหรับนักลงทุนแนวพื้นฐานควรทำความเข้าใจหุ้นที่เราคิดจะซื้อให้ดีก่อนจะกดคำสั่งซื้อไป และควรทำใจไว้เลยว่า ... “ต้องอยู่ด้วยกันนานๆ หน่อย” เพราะกว่าที่เราจะเข้าใจหุ้นแต่ละตัวต้องใช้เวลานานพอตัว และควรลงทุนหุ้นที่เราเข้าใจเท่านั้น เหมือนอย่างที่ปรมาจารย์ “วอร์เรน บัฟเฟตต์” นักลงทุนระดับโลกได้สอนเราไว้ว่าให้เราอยู่ในวงกลมแห่งความรู้ของเรา หรืออยู่ใน Circle of Competent นั่นเองครับ