posttoday

กองทุนหุ้นไทย เลือกอย่างไร?

25 พฤษภาคม 2560

โดย...กิตติคุณ ธนรัตนพัฒนกิจ Morning stars

โดย...กิตติคุณ ธนรัตนพัฒนกิจ [email protected]

ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปีต่อกี่ปี คำถามยอดฮิตตลอดกาลสำหรับการลงทุนก็ยังคงเหมือนเดิม นั่นก็คือ ลงทุนอะไรดี ถ้าเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้นก็มักจะถามกันว่า ซื้อหุ้นอะไรดี ถ้าเป็นกองทุนรวมก็ กองทุนไหนดี คำถามเหล่านี้ล้วนแต่เป็นคำถามสุดคลาสสิกที่ทุกคนต้องถามกัน แต่ก็มักจะไม่ค่อยได้คำตอบกันสักเท่าไร

แต่จะพูดไปแล้วก็เหมือนเป็นการแก้ตัวแทน แต่ในโลกของความเป็นจริง และโดยเฉพาะโลกของการลงทุนแล้วนั้น มันไม่ได้มีอะไรง่ายขนาดนั้นที่จะสามารถตอบได้เลยทันที เนื่องจากการเลือกลงทุนนั้นมีปัจจัยหลายอย่างเป็นองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเป้าหมายทางการลงทุน ซึ่งรวมทั้งเรื่องของผลตอบแทนและความเสี่ยง และระยะเวลาในการลงทุน เป็นต้น เหล่านี้ล้วนมีผลต่อการตัดสินใจเลือกลงทุนทั้งสิ้น

แต่อย่างไรก็ตาม วันนี้เรามีเทคนิคในการเลือกกองทุน โดยเฉพาะกองทุนหุ้นไทยที่ปัจจุบันนั้นมีให้เลือกมากกว่า 160 กองทุน (ไม่นับรวมกองทุน LTF และ RMF) นักลงทุนส่วนใหญ่คงตาลายกันหมด ไม่รู้จะเลือกกองไหนดี อีกทั้งบางท่านอาจจะยังไม่ทราบด้วยซ้ำไปว่า แต่ละกองทุนที่มีอยู่นั้นมีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไร

ดังนั้น เวลาเราจะเริ่มลงทุนในกองทุนรวมหุ้นไทยนั้นสามารถทำได้โดย

1.ทำความรู้จักกองทุนรวม ซึ่งถ้าจะให้เริ่มต้นแบ่งประเภทของกองทุนหุ้นไทยที่มีอยู่ในตลาดทุกวันนี้นั้นอาจจะแบ่งได้หลักๆ ดังนี้

-กองทุนที่หุ้นขนาดใหญ่-เน้นลงทุนในหุ้นที่มีมูลค่าตลาดหลักทรัพย์ (Market Cap) สูง ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นที่อยู่ในดัชนี SET50 ซึ่งต้องยอมรับว่าหุ้นในกลุ่มนี้นั้นส่วนใหญ่จะมีความผันผวนต่ำ และส่วนมากเป็นหุ้นในกลุ่มพลังงาน สื่อสาร และธนาคาร

-กองทุนที่หุ้นขนาดกลางและเล็ก-เน้นลงทุนในมูลค่าตลาดหลักทรัพย์ (Market Cap) ในระดับกลางและต่ำ หรือพวกที่อยู่นอก SET50 นั่นเอง โดยหุ้นกลุ่มนี้จะมีความผันผวนสูงขึ้นมาหน่อย แต่จะมีความหลากหลายในการลงทุนมากกว่า

-กองทุนที่หุ้นตามแต่ละหมวดอุตสาหกรรม หรือที่เรียกกันว่า Sector Fund นั่นเอง ซึ่งปัจจุบันก็มีให้เลือกทั้งที่เน้นลงทุนในกลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคารและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น โดยที่กลุ่มนี้ก็จะมีความผันผวนสูงขึ้นมาอีก เนื่องจากมีการลงทุนเพียงกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวเท่านั้น

-กองทุนที่หุ้นที่มีความผันผวนต่ำ-กองทุนจะเน้นลงทุนในหุ้นที่มีความผันผวน ตัวอย่างเช่น กลุ่มหุ้นที่ธุรกิจไม่ได้ผันผวนหรือผันผวนน้อยต่อสภาวะเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มโรงพยาบาล เป็นต้น

-กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นปันผล-กองทุนจะเน้นลงทุนในบริษัทที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูงและมีความสม่ำเสมอ ซึ่งส่วนมากกองทุนก็จะมีการจ่ายเงินปันผลออกมาด้วยเช่นกัน

-กองทุนรวมดัชนี-กลุ่มนี้จะเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนตามดัชนีต่างๆ เช่น SET50 SET100 เป็นต้น ซึ่งก็เหมาะกับนักลงทุนที่ไม่ต้องการเสี่ยงว่าจะเลือกผู้จัดการกองทุนที่เก่งหรือไม่เก่ง เพราะผลตอบแทนที่เราจะได้นั้นจะใกล้เคียงกับดัชนีชี้วัดนั้นๆ อีกทั้งค่าธรรมเนียมก็จะถูกกว่ากองทุนอื่นๆ ที่กล่าวมาทั้งหมด

2.ทำความรู้จัก บลจ.และผู้จัดการกองทุน ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะเขาคือผู้ที่นำเงินของเราไปลงทุนนั่นเอง ดังนั้นสไตล์การลงทุน ปรัชญาและแนวคิดการลงทุนจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ส่งผลต่อผลตอบแทนที่เราจะได้รับเป็นอย่างมาก เพราะแต่ละที่ก็มีสไตล์ที่แตกต่างกันไป บางที่อาจจะเน้นซื้อหุ้นและลงทุนยาว หรือบางที่ก็อาจจะเน้นการซื้อขายทำกำไรแบบระยะสั้น ซึ่งตรงนี้ก็เป็นเรื่องน่าแปลกอยู่เหมือนที่เรามักจะไม่ค่อยเห็นผู้จัดการกองทุน หรือ บลจ.ในบ้านเรานั้นออกมาทำการโปรโมทตัวเองกันสักเท่าไรว่า ตัวเองนั้นมีความเชี่ยวชาญหรือมีสไตล์การลงทุนแบบไหน ดังนั้นวิธีที่จะทำให้เราเข้าใจได้ดีที่สุดนั้นก็คือ การสอบถามพูดคุยกับ บลจ.และผู้จัดการกองทุน และนั่นจะทำให้เราเข้าใจการลงทุนได้ดีมากขึ้น และไม่ตื่นตระหนกจนเกินเหตุต่เหตุการณ์ต่างๆ

3.อย่าลงทุนแบบกระจุกตัว ตัวอย่างเช่น ซื้อกองทุน 5 กองทุนโดยที่ทุกกองทุนมีสไตล์แบบหุ้นขนาดใหญ่แบบเดียวกัน เป็นต้น การเลือกลงทุนที่ดีควรเน้นการกระจายการลงทุน เพราะหุ้นในแต่ละประเภทก็จะให้ความเสี่ยงและผลตอบแทนที่แตกต่างกัน ซึ่งการลงทุนแบบนี้จะช่วยให้พอร์ตการลงทุนของเรานั้นมีความผันผวนลดลง และมีโอกาสในการรับผลตอบแทนจากตลาดในทุกสถานการณ์

และท้ายนี้ถึงแม้ว่าการเลือกกองทุนจากผลตอบแทนสูงๆ นั้น จะเป็นสิ่งที่นักลงทุนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ก็ตาม แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า “กองทุนที่ดีนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นกองทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดเสมอไป เพราะการเลือกกองทุนให้เหมาะกับตัวเรานั้นถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดต่างหาก”