เงินฝากถอนแล้วไปไหน
เป็นอีกครั้งที่ต้องออกตัวว่า เรื่องนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับ “ประเด็นทางการเมือง” เลยสักนิด แค่เห็นคนไทยถอนเงินฝากออกจากธนาคารออมสินกันเป็นหอบๆ แล้ว ก็เลยอยากเห็นคนไทยไปหอบเงินฝากออกมาจากธนาคารอื่นๆ อีกบ้าง
โดย...สวลี ตันกุลรัตน์
เป็นอีกครั้งที่ต้องออกตัวว่า เรื่องนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับ “ประเด็นทางการเมือง” เลยสักนิด แค่เห็นคนไทยถอนเงินฝากออกจากธนาคารออมสินกันเป็นหอบๆ แล้ว ก็เลยอยากเห็นคนไทยไปหอบเงินฝากออกมาจากธนาคารอื่นๆ อีกบ้าง
เพราะทุกวันนี้ (จริงๆ ก็เป็นแบบนี้มานานมากแล้ว) คนไทยใช้บริการเงินฝากมากเกินไป เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีให้เลือกใช้บริการ
ไม่เชื่อลองเปิดเข้าไปดูข้อมูลเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบ จะเห็นว่า เมื่อสิ้นปี 2556 คนไทยมีเงินฝากรวมกัน 11,175,674 ล้านบาท อีกนิดเดียวก็จะเท่ากับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ปี 2556 ที่ 11,897,000 ล้านบาทแล้ว
ในขณะที่มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ในอุตสาหกรรมกองทุนรวม ซึ่งเป็นอีกทางหนึ่งในการออมและลงทุนยังมีอยู่เพียง 3,075,956 ล้านบาท
จำนวนเงินที่อยู่ในกองทุนรวมทุกกองทุนรวมกันนี้ยังไม่ถึงครึ่งของเงินฝากธนาคารในนามบุคคลธรรมดา ที่มีอยู่ 6,197,167 ล้านบาท ทั้งๆ ที่เมื่อเทียบผลตอบแทนจากการลงทุนแล้ว กองทุนรวมมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า แถมยังไม่เสียภาษีจากการขายอีกด้วย
เพราะฉะนั้นแค่คนธรรมดาๆ แบ่งเงินฝากที่มีอยู่มากมายในธนาคารออกไปหาช่องทางการออมหรือการลงทุนอื่นๆ ดูบ้างน่าจะช่วยเพิ่มโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนมากขึ้น (ยกเว้นปีที่แล้วที่ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1 ปี เอาชนะผลตอบแทนจากการลงทุนประเภทอื่นๆ ไปได้ แต่ปีนี้โอกาสที่จะซ้ำรอยเดิมคงจะมีไม่มาก)
แต่ไม่ต้องเฮโลเทเงินฝากหมดหน้าตักไปลงทุนประเภทอื่นๆ เสียหมด เพราะอย่างน้อยๆ คนเราควรจะมีเงินฝากในบัญชีออมทรัพย์เพื่อเป็นสภาพคล่องไว้ให้พอใช้ในแต่ละเดือน บวกกับเตรียมเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินอีก 3 เท่าของรายจ่ายในแต่ละเดือน ส่วนที่เกินจากนี้ค่อยแบ่งสรรปันส่วนไปลงทุนอย่างอื่นดูบ้างตามความเหมาะสม
ทดแทนออมทรัพย์
ถ้าคุ้นเคยกับการฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์ลองเริ่มจากขยับมาลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงินกันก่อน เพราะการเบิกถอนเงินจากกองทุนตลาดเงินแม้จะไม่รวดเร็วทันใจเหมือนเดินไปกดเงินจากตู้เอทีเอ็ม แต่ก็พอจะนำมาใช้ทดแทนการฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์ได้ส่วนหนึ่ง ถ้าเรามีการบริหารจัดการที่ดี
เพราะการสั่งขายกองทุนตลาดเงินทำได้ทุกวัน (แต่การส่งคำสั่งผ่านระบบอินเทอร์เน็ตจะสะดวกกว่าการเดินไปสาขา) หลังจากขายกองทุนแล้วจะใช้เวลาไม่เกิน 12 วัน เงินค่าขายหน่วยลงทุนก็จะโอนเข้ามาในบัญชีออมทรัพย์เรียบร้อย
นอกจากนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บางแห่งยังใจดีมีบัตรให้กดเงินสดได้ไม่ต่างจากบัตรเอทีเอ็มอีกด้วย ช่วยเพิ่มความสะดวกและลดข้อจำกัดของกองทุนตลาดเงินที่ว่า เบิกเงินได้ช้ากว่าเงินฝากออมทรัพย์
ที่สำคัญ กองทุนตลาดเงินมักจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์
ใกล้เคียงเงินฝากประจำ
แต่สำหรับคนที่ชอบเก็บออมไว้ในบัญชีเงินฝากประจำ ไม่ว่าจะเป็นฝากประจำ 3 เดือน 6 เดือน 12 เดือน หรือนานกว่านั้น ก็มีกองทุนตราสารหนี้เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ซึ่งลักษณะทั่วไปใกล้เคียงเงินฝากประจำมากๆ และในบางช่วงเวลากองทุนประเภทนี้จะให้ผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำในระยะเวลาใกล้เคียงกัน และมีเสียภาษี
ถ้าต้องการได้ผลตอบแทนเพิ่มอีกนิด ยอมเสี่ยงเพิ่มขึ้นอีกหน่อย จะมีกองทุนตราสารหนี้ที่ไม่ได้ลงทุนเฉพาะตราสารหนี้ในประเทศ แต่ บลจ.จะไปมองหาตราสารหนี้ต่างประเทศที่ให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นในระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ซึ่งมีทั้งเงินฝากในสกุลเงินต่างประเทศ พันธบัตรรัฐบาลต่างประเทศ และตราสารหนี้ภาคเอกชนในต่างประเทศ
ไม่ต้องห่วงว่า จะไปหาซื้อกองทุนแบบนี้ได้ที่ไหน เพราะตอนนี้ บลจ.เกือบทุกแห่งเปิดขายกองทุนประเภทนี้กันทุกสัปดาห์
หรือจะลองก้าวออกไปอีกสักก้าวหนึ่ง แทนที่จะฝากเงินกับธนาคารแล้วให้ธนาคารไปนำเงินของเราไปปล่อยกู้ ก็เปลี่ยนมาเป็นนำเงินของเราไปให้บริษัทเอกชนที่น่าเชื่อถือกู้เราโดยตรงจะดีกว่า นั่นคือ ไปซื้อหุ้นกู้ของบริษัทเอกชน ซึ่งได้ดอกเบี้ยดีกว่าการฝากธนาคารแน่นอน
บัณฑิต นิจถาวร ประธานกรรมการสมาคมตราสารหนี้ไทย บอกว่า หุ้นกู้ในช่วงนี้ให้ดอกเบี้ยค่อยข้างดี โดยมีตั้งแต่ 46% ต่อปี ขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยงของบริษัทผู้ออกหุ้นกู้และระยะเวลาการลงทุน
หวังผลตอบแทนสม่ำเสมอ
การลงทุนอีกแบบหนึ่งที่สามารถให้ผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ แบบเดียวกับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร คือ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน
กองทุนทั้ง 3 ประเภทนี้ จะมีลักษณะคล้ายๆ กัน คือ มีความตั้งใจที่จะจ่ายเงินปันผลให้นักลงทุนอย่างสม่ำเสมอ โดยมากมักจะจ่ายกันทุกไตรมาส แต่จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับกำไรของแต่ละกิจการ และรูปแบบรายได้ของแต่ละอุตสาหกรรม รวมทั้งรูปแบบของกองทุนด้วย
แต่มีแนวคิดง่ายๆ คือ ถ้ากองทุนที่รายได้ค่อนข้างแน่นอน หรือมีความเสี่ยงต่ำก็จะให้ปันผลไม่มากนัก (แต่มากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากแน่นอน) ในขณะที่กองทุนที่มีความเสี่ยงสูงก็จะชดเชยให้นักลงทุนด้วยผลตอบแทนที่มากกว่า
วิธีการลงทุนในกองทุนทั้ง 3 ประเภทนี้ ทำได้ 2 วิธี คือ จองซื้อตั้งแต่กองทุนเปิดขายครั้งแรก หรือที่เรียกว่า IPO (ซึ่งเชื่อได้เลยว่า ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะมีกองทุนทั้ง 3 ประเภทนี้ออกมาขายกันหลายกองทุน เพราะฉะนั้นถ้าสนใจลงทุนก็เตรียมตุนเงินรอไว้ได้เลย)
แต่หากไม่อยากจะรอไปจนเวลานั้น ก็ต้องใช้วิธีที่ 2 คือ เข้าไปซื้อในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งช่วงนี้ก็น่าจะเป็นจังหวะเหมาะเคราะห์ดี เพราะราคาซื้อขายกองทุนลดลงไปตามภาวะการซื้อขายโดยรวมในตลาดหลักทรัพย์ (ทั้งๆ ที่รายได้ของกองทุนไม่ได้ลดลงเลย) ทำให้หลายกองทุนราคาถูกกว่าการจองซื้อในช่วง IPO เสียอีก
นอกจากนี้ ราคาซื้อขายที่ลดลงยังทำให้นักลงทุนได้ผลตอบแทนสูงขึ้นด้วย โดยข้อมูลเมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2557 โดยบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง แสดงให้เห็นว่า กองทุนอสังหาริมทรัพย์บางกองทุนผลตอบแทนจากเงินปันผลกระโดดขึ้นไปถึง 12% (แซงหน้าดอกเบี้ยเงินฝากไปหลายเท่าตัว) จึงแนะนำให้นักลงทุนเข้าไปเลือกซื้อเพื่อการลงทุนระยะยาว
การลงทุนอีกรูปแบบหนึ่งที่น่าจะให้ผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอเช่นเดียวกัน คือ หุ้นปันผลหรือกองทุนหุ้นปันผล
“หุ้นปันผล” คือ คำเรียกหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีการจ่ายเงินปันผลให้นักลงทุนในอัตราค่อนข้างสูงอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าชื่อหุ้นบางตัวอาจจะไม่คุ้นหูนักลงทุน แต่ถ้าไปสืบค้นข้อมูล ทำการบ้านกันสักหน่อย จะเห็นว่า เงินปันผลที่จ่ายออกมาในแต่ละปีดีกว่าดอกเบี้ยเงินฝากค่อนข้างมาก
และเช่นเดียวกัน ช่วงนี้ก็ถือเป็นโอกาสดีที่ราคาหุ้นปันผลดีๆ หลายตัวปรับลดลงจนทำให้อัตราเงินปันผลตอบแทนสูงขึ้นไปอีก แม้กระทั่งอัตราเงินปันผลจากหุ้นธนาคารบางตัวก็ยังสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคาร
ล่าสุดข้อมูล SAA Consensus ของสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ทำให้เห็นว่า หุ้นที่มีอัตราเงินปันผลตอบแทนสูงสุด 10 อันดับแรก (ไม่มีหุ้นธนาคาร) ให้ผลตอบแทนสูงถึง 78%
เห็นทางเลือกลงทุนและตัวเลขผลตอบแทนแบบนี้แล้ว ยิ่งอยากจะให้หอบเงินฝากออกมาจากธนาคารกันออกมามากๆ หอบออกมาหาผลตอบแทนที่ดีกว่า อย่าปล่อยให้เงินฝากนอนขี้เกียจอยู่ในธนาคารแล้วได้ดอกเบี้ยแค่ 12% ต่อปี เพราะผลตอบแทนแค่นี้มันทำให้เงินของเราโตไม่ทันราคาข้าวของที่แพงขึ้นทุกวัน