posttoday

นวกิจฯจ่อปรับเบี้ยรถยนต์

09 พฤษภาคม 2559

นวกิจประกันภัยเตรียมปรับอัตราเบี้ยประกันภัยรถยนต์ ลดค่าใช้จ่ายด้านเคลม ดันกำไรสูงขึ้น ชดเชยการเติบโตลดเหลือ 5%

นวกิจประกันภัยเตรียมปรับอัตราเบี้ยประกันภัยรถยนต์ ลดค่าใช้จ่ายด้านเคลม ดันกำไรสูงขึ้น ชดเชยการเติบโตลดเหลือ 5%

นายปิติพงศ์ พิศาลบุตร ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทนวกิจประกันภัย เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้การแข่งขันด้านประกันภัยรถยนต์สูงขึ้น โดยอัตราส่วนค่าสินไหมทดแทนต่อเบี้ยประกันภัยรับในปี 2558 ของบริษัทอยู่ที่  69.13% สูงกว่าอุตสาหกรรม จากปี 2557 อยู่ที่ 65.67% 

ทั้งนี้ ในปี 2559 นี้บริษัทพยายามปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ด้านการประกันภัยรถยนต์ เพื่อให้มีผลกำไรสูงขึ้น เช่น การปรับนโยบายด้านอัตราเบี้ยประกันภัย ซึ่งจะพิจารณาตามความเหมาะสม และยังมีหลายโครงการที่จะทำให้ค่าใช้จ่ายการประกันภัยลดลง รวมถึงการออกกรมธรรม์อิเล็คทรอนิคส์ การนำระบบเคลมออนไลน์ หรือ อี-เคลมเข้ามาช่วย

นอกจากนี้ ยังได้ร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยไทย ในการผลักดันออกกรมธรรม์ผ่านจดหมายอิเล็คทรอนิคส์ หรือ อี-โพลิซี ซึ่งต้องใช้เวลาในการปรับปรุงระบบ รวมถึงต้องได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.)จะช่วยลดต้นทุนในเรื่องการดำเนินงานลงได้ รวมทั้งจะมุ่งเน้นการพัฒนาระบบการทำางานเพื่อลดขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน การปรับปรุงรูปแบบเว็บไซต์ของบริษัท และการพัฒนาระบบออนไลน์สำาหรับการซื้อขายประกันภัย

"ปีนี้เราตั้งเป้าหมายโต 5% ซึ่งเป็นการตั้งตามประมาณการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลว่าจะโต 3% หากมีการเปลี่ยน เราก็จะปรับตาม จากปี ปี 2558 มีเบี้ยประกันภัยรับทั้งสิ้น 3,368.93 ล้านบาท โตถึง 25.43% สูงกว่าอุตสาหกรรมประกันภัยที่เติบโต 1.90% ซึ่งเป็นการโตจากประกันภัยรถยนต์เป็นหลัก"นายปิติพงศ์ กล่าว

นายสุจินต์ หวั่งหลี ประธานกรรมการ บริษัทนวกิจประกันภัย กล่าวว่า ปี 2558 มีการเติบโตสูง 25% เพราะมีช่องทางการขายเพิ่มขึ้นจำนวนมาก แต่การเติบโตที่สูงได้ส่งผลกระทบทางบัญชี เช่น เบี้ยประกันรถยนต์โตถึง 25% ได้ทำการลงบัญชีค่าใช้จ่ายค่านายหน้า 100% แต่เบี้ยประกันภัยที่ถือเป็นรายได้สามารถลงบัญชีได้เพียง 50% เท่านั้น ทำให้อัตราค่าใช้จ่ายในปีที่ผ่านมาสูงขึ้นกว่าความเป็นจริงมาก ในขณะที่ต่างประเทศจะลงบัญชีค่านายหน้าเพียง 50% เท่านั้น ทำให้ต้นทุนในการดำเนินงานโดยรวมสูงขึ้นมาก

สำหรับปี 2559 คิดว่าคงไม่สามารถทำกำไรได้มากเหมือนปี 2558 เพราะอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง แต่การควบคุมค่าใช้จ่าย และการลงทุนอย่างระมัดระวัง จะทำให้บริษัทมีกำไรทัดเทียมในภาวะปกติ ซึ่งปี 2558 กำไรไม่ปกติ เพราะเกณฑ์คปภ.จึงมีการขายหุ้นบริษัทฟอลคอนประกันภัยออกไป 7% เหลือ 12% และล่าสุดนี้ทางบริษัทฟอลคอน ได้ทำการเพิ่มทุนใหม่ ทางบริษัทได้สอบถามไปยังคปภ.แล้วว่า จะสามารถซื้อหุ้นเพิ่มทุนได้หรือไม่ ซึ่งยังไม่ได้คำตอบ หากไม่ให้ซื้อเพิ่ม จะทำให้สัดส่วนหุ้นที่บริษัทถืออยู่ในบริษัทฟอลคอน ลดลงโดยอัตโนมัติเหลือเพียง 7%