posttoday

4 โอกาสกับการลงทุนในเอเชีย ฝ่ามรสุมลูกใหญ่ได้จริงหรือ?

21 มิถุนายน 2565

กำไรบริษัทจดทะเบียนและเศรษฐกิจของหลายๆภูมิภาคก็ยังขยายตัวได้ แม้จะชะลอตัว ส่งผลให้หุ้นจะยังให้ผลตอบแทนดีกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น

การปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ของ Fed ในการประชุมครั้งล่าสุด แม้จะไม่ได้เหนือความคาดหมายของตลาด แต่ก็ได้สะท้อนว่า Fed มีความมุ่งมั่นที่จะควบคุมเงินเฟ้อ การใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวมากขึ้นนอกจากจะส่งผลให้สภาพคล่องในระบบลดลง แล้วยังส่งผลต่อการปรับคาดการณ์ GDP และการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนถูกปรับลง จากต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นเพิ่มเติมจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นมาต่อเนื่อง ดังนั้น ในระยะถัดไป ความกังวลด้านการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯจากเงินเฟ้อที่ทรงตัวในระดับสูงและดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นมาน่าจะยังจำกัดการปรับตัวขึ้น (Upside) ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ

จีน... จะกลับมาผงาดอีกครั้ง

ภายหลังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมในปีนี้จากการล็อกดาวน์เมืองใหญ่ที่ยาวนาน ซึ่งส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานและการบริโภคในประเทศเป็นอย่างมาก แต่รัฐบาลจีนรับรู้ปัญหาและได้มีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเรื่อยๆ ทั้งการคลังและการเงินที่ยังมีกระสุนอีกมาก พร้อมลดดอกเบี้ยซึ่งสวนทางกับประเทศอื่นๆ นอกจากนี้ยังลดความคุมเข้มด้านนโยบายที่มีต่อภาคธุรกิจต่างๆ ล่าสุดการคลายล็อกดาวน์เมืองใหญ่อย่างเซี่ยงไฮ้และปักกิ่ง ทำให้ภาพต่างๆดีขึ้น เพราะจะช่วยลดปัญหาด้านโลจิสติกและห่วงโซ่อุปทาน ภาคธุรกิจสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ นอกจากนี้ การที่รัฐบาลจีนมีแผนพัฒนาประเทศที่ชัดเจนและมุ่งให้เศรษฐกิจโตตามเป้าในปีนี้ ทำให้มีหุ้นที่จะได้ประโยชน์อีกเป็นจำนวนมาก หากพิจารณาที่ราคาหุ้น ระดับปัจจุบันถือว่าถูกกว่าประเทศอื่นและต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวในอดีต สะท้อนตลาดหุ้นรับรู้ปัจจัยลบต่างๆไปมากแล้ว

ญี่ปุ่น... กับความหวังต่อการเปิดประเทศ

ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกคนเฝ้ารอการกลับมาเปิดประเทศแบบเต็มรูปแบบของญี่ปุ่น ซึ่งหากเทียบกับประเทศอื่นๆ ถือว่าญี่ปุ่นระมัดระวังเรื่องนี้เป็นอย่างมาก การเปิดประเทศที่ช้ากว่าประเทศอื่นๆ จะทำให้เห็นการฟื้นตัวที่โดดเด่นโดยเฉพาะภาคบริการ ด้านธนาคารกลางญี่ปุ่นยังมีแนวโน้มที่จะใช้นโยบายแบบผ่อนคลายอีกนาน นอกจากจะหนุนสภาพคล่องในระบบ ทิศทางนโยบายการเงินที่สวนทางกับสหรัฐฯ ส่งผลให้ค่าเงินเยนให้อ่อนค่า เป็นประโยชน์ต่อหุ้นกลุ่มส่งออก และสนับสนุนการปรับขึ้นคาดการณ์กำไรของตลาดหุ้นในปีนี้

เวียดนาม... เสือเศรษฐกิจตัวใหม่แห่งเอเชีย

เศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตดีกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคเดียวกัน จากการฟื้นตัวของภาคการผลิตเพื่อการส่งออกหลังคลายล็อกดาวน์ การขยายตัวของประชากรวัยทำงานที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้รายได้ต่อหัวเพิ่มและหนุนการบริโภคภายในประเทศ เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) ยังคงไหลเข้าประเทศอย่างต่อเนื่องเพื่อใช้เวียดนามเป็นฐานการผลิตส่งออกไปยังทั่วโลก แบรนด์ยักษ์ใหญ่ต่างมีฐานการผลิตที่เวียดนาม ไม่ว่าจะเป็น Apple Samsung และ Lego ด้านอัตราการเติบโตกำไรของบริษัทจดทะเบียนมีความโดดเด่นในภูมิภาค มากกว่า 20% ในปีนี้และปีหน้า

และสุดท้าย สำหรับนักลงทุนที่ยังอยากมีหุ้นไทยติดพอร์ต ก็สามารถเข้าลงทุนได้ การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประเมินว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง คาดการณ์จะขยายตัว 3.3% และ 4.2% ในปี 2565 และ 2566 ตามลำดับ จากการบริโภคภาคเอกชนที่ฟื้นตัวดีกว่าคาดมากโดยเฉพาะภาคบริการ รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากการเปิดประเทศที่เร็วขึ้นของทั้งไทยและต่างประเทศ ขณะที่การระบาดของโควิด-19 และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยจำกัด บลจ.กสิกรไทยมองเป้าดัชนี SET ปลายปีที่ 1,750-1,800 จุดในสิ้นปีนี้

ในภาพรวม ระดับราคาหุ้นในหลายภูมิภาคทั่วโลกต่างปรับตัวลงมาที่ระดับใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยระยะยาว อีกทั้งภาพในช่วงที่เหลือของปีนี้ กำไรบริษัทจดทะเบียนและเศรษฐกิจของหลายๆภูมิภาคก็ยังขยายตัวได้ แม้จะชะลอตัว ส่งผลให้หุ้นจะยังให้ผลตอบแทนดีกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น หากจะรอให้ตลาดย่อจนต่ำสุดแล้วค่อยเข้าลงทุนอาจจะไม่ทันการได้

ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน