ตลาดเงิน ตลาดทุน ติดตามเงินเฟ้อไทย

คอลัมน์ มันนี่วีก (Money…week) โดย...ภาณี กิตติภัทรกุล, มนัสวิน ฐิติสมบูรณ์ สายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย

สายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทยประเมินว่า เงินบาทมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 33.00-33.80 ในสัปดาห์นี้ โดยมีประเด็นสำคัญคือการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อของไทยเดือนมีนาคม โดยตลาดคาดอยู่ที่ 5.6%YoY จาก 5.3%YoY ในเดือนกุมภาพันธ์ คาดปรับเพิ่มขึ้นจากราคาพลังงานและอาหารที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็นหลัก

ด้านต่างประเทศ รายงานการประชุมเฟดจากการประชุมในช่วงวันที่ 15-16 มีนาคมที่ผ่านมาจะช่วยให้เห็นรายละเอียดในการตัดสินใจของเฟดในการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในครั้งที่ผ่านมา และมุมมองต่อการตัดสินใจในอนาคต รวมถึงมุมมองต่อเงินเฟ้อและตลาดแรงงาน นอกจากนี้ทางยุโรปจะมีประกาศดัชนีราคาผู้ผลิตที่น่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องตามราคาพลังงานที่สูง

ภาพรวมตลาดอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงวันที่ 28 มีนาคม 2022 - 1 เมษายน 2022 เงินบาทผันผวนในทิศทางแข็งค่า ท่ามกลางเงินทุนไหลเข้าทั้งตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้น ธปท. มีมติเอกฉันท์คงดอกเบี้ยนโยบายตามคาด พร้อมลดคาดการณ์จีดีพีจาก 3.4% เป็น 3.2% ในปีนี้ และ 4.7% เป็น 4.4% ในปีหน้า และเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อจาก 1.7% เป็น 4.9% ในปี 2022 และ 1.4% เป็น 1.7% ในปี 2023 พร้อมคงคาดการณ์นักท่องเที่ยวที่ 5.6 ล้านคนในปีนี้ และประเมินว่าดุลบัญชีเดินสะพัดปีนี้จะขาดดุล 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้านดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยเดือนกุมภาพันธ์ขาดดุล 0.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขาดดุลน้อยลงกว่าเดือนก่อน เนื่องจากดุลการค้าเกินดุลเพิ่มขึ้นที่ 3.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

รัสเซียประกาศจะถอนทหารออกจากกรุงเคียฟเพื่อแสดงถึงความตั้งใจในการบรรลุข้อตกลงกับยูเครน ซึ่งรัสเซียกล่าวว่าการเจอกันระหว่างประธานาธิบดีปูตินกับประธานาธิบดีซีเลนสกีอาจเกิดขึ้นได้ และยอมให้ยูเครนเข้าร่วมสหภาพยุโรปได้ แต่ห้ามเข้าร่วมนาโต้ อย่างไรก็ดี รัสเซียระบุยังคงมีประเด็นที่ต้องดำเนินการอีกมาก ทางด้านฝั่งตะวันตกไม่เชื่อคำพูดของรัสเซีย โดยกังวลว่าจะเป็นกลลวง

ยุโรปประกาศไม่ยอมจ่ายค่าก๊าซในสกุลเงินรูเบิล โดยออกมากล่าวว่าข้อตกลงการซื้อขายได้กำหนดให้จ่ายในเงินยูโรหรือดอลลาร์สหรัฐ เพราะฉะนั้นการจ่ายในเงินรูเบิ้ลจะเป็นการทำผิดต่อข้อสัญญา และเป็นการช่วยรัสเซีย ด้านสหรัฐฯ กำลังพิจารณาจะปล่อยน้ำมันสำรอง 1 ล้านบาร์เรลต่อวันเป็นระยะเวลาหลายเดือน ในขณะที่โอเปกปรับลดคาดการณ์อุปทานส่วนเกินจาก 1 ล้านบาร์เรลต่อวันเป็น 6 แสนบาร์เรลต่อวันในช่วงไตรมาสที่ 1 และเพิ่มการผลิตที่ 432,000 บาร์เรลต่อวันสำหรับเดือนพฤษภาคม ทางรัสเซียเองกำลังเจรจาจะขายน้ำมันให้อินเดียในราคาที่ถูกหลังประเทศอื่นๆลดการซื้อ

ด้านสหรัฐฯ เอดีพีรายงานการจ้างงานในเดือนมีนาคม 4.55 แสนตำแหน่ง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯ โดยคอนเฟอเรนซ์บอร์ดปรับเพิ่มขึ้นในเดือนมีนาคมไปอยู่ที่ 107.2 และดัชนีรายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล เพิ่มขึ้น 0.6%MoM และ 6.4%YoY ในเดือนกุมภาพันธ์จากราคาพลังงานและราคาอาหารที่สูงขึ้นเป็นหลัก ด้านสมาชิกเฟดส่งสัญญาณ Hawkish ต่อเนื่อง โดยเอสเทอร์ จอร์จ ประธานเฟดแคนซัส และโทมัส บาร์กิ้น ประธานเฟดริชมอนด์ สนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ยอย่างมั่นคงและรอบคอบ พร้อมสนับสนุนการลดงบดุลอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงระบุว่าการขึ้นดอกเบี้ย 50bps อาจเป็นไปได้ ด้านราฟาเอล บอสติก ประธานเฟดแอตแลนต้า กล่าวสนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ย 6 ครั้งในปีนี้

ยูโรโซนเผชิญกับความเสี่ยงเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น โดยเงินเฟ้อเยอรมันในเดือนมีนาคมพุ่ง 7.6%YOY ในขณะที่เงินเฟ้อสเปนพุ่ง 9.8%YoY นอกจากนี้เงินเฟ้อฝรั่งเศสและเงินเฟ้ออิตาลีปรับสูงขึ้นเช่นกันอยู่ที่ 5.1%YoY และ 7.0%YoY ตามลำดับในเดือนมีนาคม ทำให้ความเชื่อมั่นยูโรโซนลดลงจาก 113.9 เป็น 108.5 ในเดือนมีนาคม ด้านอีซีบี ลาการ์ดระบุว่ายูโรโซนมีแนวโน้มเผชิญกับเงินเฟ้อที่สูงขึ้นและการเติบโตที่ชะลอลงในระยะสั้น และพร้อมปรับนโยบายรับกับเงินเฟ้อ ในขณะที่สมาชิกหลายคนสนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ หลังมาตรการซื้อสินทรัพย์แบบปกติจะสิ้นสุดลงใน Q3

ธนาคารกลางญี่ปุ่นเข้าซื้อพันธบัตร 10 ปี แบบไม่มีจำกัดเพื่อให้อัตราดอกเบี้ยลงมาที่ 0% ตามที่บีโอเจตั้งเป้าไว้ หลังอัตราดอกเบี้ยขึ้นไปถึง 0.25% โดยเข้าซื้อในวันที่ 29-31 มีนาคม ทางด้านรัฐบาลญี่ปุ่นได้ออกมาแสดงความกังวลต่อการอ่อนค่าของค่าเงินเยน โดยรัฐบาลกังวลถึงผลด้านลบต่อเศรษฐกิจจากการที่เงินเยนอ่อนค่าจะเพิ่มจากเดิมที่โดนกระทบอยู่แล้วจากราคาพลังงานและราคาโภคภัณฑ์ที่ปรับสูงขึ้น โดยนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นกำลังรวบรวมมาตรการเพื่อช่วยเหลือประชาชนในช่วงที่สินค้าราคาแพง

เงินบาทปิดตลาดที่ 33.46 ในวันศุกร์ที่ 1 เมษายน 2022 ณ เวลา 17.00 น.

ภาพรวมตลาดตราสารหนี้ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของประเทศสหรัฐฯ มีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะ Flattening คืออัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวปรับตัวลดลง ทำให้ชั่วขณะหนึ่งมีสัญญาณของ Inverted Yield Curve ระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ระยะ 10 ปีที่ลดลงต่ำกว่าพันธบัตรระยะสั้น 2 ปีเป็นครั้งแรกนับจากปี 2019 ซึ่งตามสถิติที่ผ่านมาการเกิด Inverted Yield Curve มักเป็นสัญญาณเตือนของการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยรอบใหม่ กล่าวคือนักลงทุนยินดีที่จะซื้อพันธบัตรระยะยาวในอัตราผลตอบแทนที่ต่ำกว่าพันธบัตรระยะสั้น เพราะคิดว่าเศรษฐกิจอาจจะชะลอตัวลงและเฟดอาจจะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต ซึ่งล่าสุด spread ระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2ปีกับ 10ปี (UST 2-10Y Spread) อยู่แถวบริเวณ +2 bps ที่เป็นเช่นนี้ส่วนหนึ่งสะท้อนมุมมองที่เฟดจะใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัวมากขึ้น ซึ่งถ้าพิจารณาจากตัวเลข Fed Fund Future นักลงทุนได้ price in โอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 8 ครั้งในการประชุมที่เหลือของปี 2022

ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย โดยมีประเด็นสำคัญภายในประเทศอยู่ที่ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทยที่มีมติเป็นเอกฉันท์คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% พร้อมปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2022 ลงจาก 3.4% เป็น 3.2% และจาก 4.7% เป็น 4.4% ในปี 2023 ส่วนตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อได้ถูกปรับขึ้นจาก 1.7% เป็น 4.9% ในปี 2022 และ 1.4% เป็น 1.7% ในปี 2023 ทั้งนี้เรามองว่าการใช้นโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายยังคงมีความจำเป็นสำหรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศและมีความเป็นไปได้สูงที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะอยู่ที่ระดับ 0.50% ไปตลอดปี 2022 ทางด้านกระแสเงินทุนต่างชาติในสัปดาห์ที่ผ่านมากลับไหลเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้เป็นมูลค่าสุทธิประมาณ 5,661 ล้านบาท ซึ่งเป็นการซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น 10,670 ล้านบาท ขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว 748 ล้านบาทและมีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ 4,261 ล้านบาท ส่งผลให้ ณ วันที่ 1 เมษายน 2565 อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยรุ่นอายุ 1, 2, 3, 5, 7 และ 10ปี อยู่ที่ 0.53% 0.93% 1.22% 1.63% 2.17% และ 2.41% ตามลำดับ