posttoday

เรื่องที่อาจมองข้ามถ้าเราจะไป Digital Lending สำหรับ SMEs

28 มีนาคม 2565

ประเทศจะได้เดินหน้า Digital Lending ที่ถูกต้องและทุกคนสามารถเข้าถึงได้ แบบเดียวกับระบบการโอนเงิน ค่าธรรมเนียมต้องเป็นศูนย์

คอลัมน์ เศรษฐกิจภาษาคน ตอนที่ 13/2565

เรื่องของเรื่องก็คือ มีการพูดการเสวนากันมามากมาย ต่อเนื่อง และต้องการให้กระบวนการ ขั้นตอนการพิจารณาสินเชื่อสำหรับผู้ขอสินเชื่อประเภท SMEs หรือคนตัวเล็กในระบบเศรษฐกิจไทยในเวลานี้ เวลาที่เรากำลังยากลำบากในช่วงของการระบาด Covid-19 ทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็น ธนาคารกลางของประเทศ สมาคมธนาคารไทย สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ สมาคมฟินเทค หรืออีกหลายสมาคม ต่างก็มองไปในทิศทางเดียวกันว่า ถ้าเราร่วมมือกันพัฒนา ผลักดันให้การพิจารณาสินเชื่อดีขึ้น เร็วขึ้น สะดวกมากขึ้น ลดการเจอหน้า ลดการใช้เอกสารกระดาษ ลดเวลาการพิสูจน์ว่าคนกู้ใช่คนนี้ไหม เอกสารหลักฐานปลอมไหม ซึ่งมันก็ไปทำให้เกิดความรู้สึกว่า รอช้า รอผลการพิจารณาว่าให้ - ไม่ให้นานเกินไป และร้องขอเอกสารมากมายเกินไป เรื่องพวกนี้คุยกันมาถ้าจำความได้ก็มีเกิน 7-10 ปี

แต่เวลานี้ ปี พศ.2565 นี้ ยุคสมัยเปลี่ยนไปมาก คนค้าขายปรับตัวเข้ากับเรื่องที่ต้องรู้ด้านดิจิทัลมากขึ้น ต้องรู้จักการโอนเงินแบบไร้รอยต่อ QR code ไม่ต้องพูดถึง การโอนเงิน รับเงิน เข้าออก เช็กได้ตลอดเวลา ต้องขอขอบคุณอุบัติเหตุตอนเจรจาค่าธรรมเนียมการโอนเงิน จนมีการออกแคมเปญ ฟรีค่าโอนเงินสิ้นเรื่องสิ้นราว นำมาสู่การยกระดับการแข่งขันแบบสุด ๆ เพราะเมื่อการโอนเงินไม่ว่ากี่บาท ไม่มีค่าธรรมเนียม ก็หมายความว่า อิสรภาพของการทำธุรกรรมทางการเงินมันเกิดอย่างมโหฬาร เพราะการทำธุรกรรมทางการเงินพื้นฐานคือ ฝากเข้า ถอนออก โอนเข้า โอนออก จ่ายชำระหรือรับชำระ มันคือพื้นฐานที่สำคัญที่มีการปลดล็อกจากค่าธรรมเนียม

ทีนี้กลับมาเรื่อง Digital Lending มันมีเงื่อนไขบางประการที่น่าสนใจคือ

1. ต้องทำรายการผ่านเครื่องมือสื่อสารได้ทุกประเภท โดยเฉพาะอวัยวะที่ 5 คือโทรศัพท์เคลื่อนที่ (มือถือ)

2. ไม่จำเป็นว่าต้องมาพบเห็นกันต่อหน้า เพื่อจะพิสูจน์ตัวตนว่า นาย A คือ นาย A นั่นหมายความว่านาย A ต้องมี Digital ID เหมือนกับมีบัตรประชาชนในโลกดิจิทัลนั่นเอง

3. เอกสารข้อมูลที่ต้องการไม่ว่า แบบแสดงรายการเสียภาษี รายการเดินบัญชี (Bank Statement) ซึ่งมันเป็นข้อมูลของคนยื่นขอสินเชื่อ ในโลกของกระดาษ มันต้องไปคัดสำเนา รับรองความถูกต้อง ลงนามทุกหน้า แล้วก็ให้คนเอาไปส่งกับเจ้าหน้าที่สินเชื่อ ข้อมูลเหล่านี้หน่วยงานที่ดูแลมันก็อยู่ในระบบอยู่แล้ว เป็นไฟล์คอมพิวเตอร์อยู่แล้ว ทำอย่างไรจะให้คนที่ดูแลข้อมูลเหล่านี้ยอมปล่อยข้อมูลผ่านท่อ ผ่านระบบ ไปยังคนที่ต้องการใช้ได้เลย

4. มันมีข้อมูลอื่น ๆ อีกมากมายนอกจากข้อมูลจากเครดิตบูโรที่จะใช้วัด ใช้ประเมิน ความสามารถในการชำระหนี้ ความตั้งใจในการชำระหนี้ ความเต็มใจไม่หลีกหนีในการชำระหนี้ที่กลุ่ม Fintech เรียกว่า ข้อมูลทางเลือกหรือ Alternative data บ้านอื่นเมืองอื่นเขาก็ลองเอามาใช้บ้างแล้ว ใช้ได้บ้าง ใช้ไม่ได้บ้าง แต่มันก็ยังดีที่เริ่มแล้ว ดีกว่าเอาแต่พูด ๆ กัน No Action Talk Only

5. มันมีกฎหมายให้ความคุ้มครองคนที่เป็นเจ้าของข้อมูลตัวจริง คนที่ดูแลรักษาข้อมูลให้ปลอดภัยแบบเครดิตบูโรนั้น ไม่ใช่เจ้าของข้อมูลนะครับ ตรงนี้ต้องไม่เข้าใจผิด ดังนั้นข้อมูลของใคร ไปถูกจัดเก็บที่ไหน คนที่จะบอกคนจัดเก็บให้ส่งไปที่ไหน (Data portability) ก็คือเจ้าของข้อมูล โดยคนที่ดูแลข้อมูลจะปล่อยได้ก็ต่อเมื่อเขาเห็น เอกสารการให้ความยินยอม (Consent) ของเจ้าของข้อมูล เพราะถ้าไม่มีสิ่งนี้ เขาส่งข้อมูลออกไป เขาก็ผิดกฎหมายเข้าข่ายละเมิด มีโทษรุนแรง

ปัจจุบันประเทศเรามีโครงสร้างพื้นฐานเกือบครบสมบูรณ์แล้ว

1. เรามี Digital ID Platform เพื่อรองรับการพิสูจน์และยืนยันตัวตนแบบไม่พบเห็นต่อหน้าแล้วเช่น NDID

2. เรามีกฎหมายคุ้มครองข้อมูล?เครดิต กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ที่กำหนดบทบาทอย่างชัดเจน

3. เรามีระบบการโอนเงิน การชำระเงิน ที่ไม่ต้องมีค่าธรรมเนียม โอนได้ 24/7 เพราะเรามี Platform National ITMX

4. สิ่งที่เราขาดคือ e-Consent Platform ให้เป็นที่ ๆ เจ้าของข้อมูลสามารถระบุการให้ความยินยอมว่า ให้กับใคร ให้กับชุดข้อมูลของเขาชุดไหน เช่น ชุดข้อมูลทางการเงิน ชุดข้อมูลทางสุขภาพ ชุดข้อมูลที่อยู่กับหน่วยงานภาครัฐ ลองคิดตามผู้เขียนนะครับ นาย A มีข้อมูลที่กรมสรรพากร เป็นข้อมูลยื่นแบบเสียภาษี ข้อมูลนี้สะท้อนว่านาย A มีรายได้ พอเวลานาย A ไปยื่นขอกู้กับธนาคาร ก. ผ่านมือถือ นาย A ก็จะแสดงตัวตนผ่านมือถือ ธนาคาร ก. ก็จะพิสูจน์ตัวตนของนาย A จากนั้นก็จะมีการยืนยันตัวตนนาย A โดยสถาบันการเงิน บริษัทให้บริการโทรคมนาคม ที่นาย A ได้เคยไปลงทะเบียนไว้แล้วในอดีต เมื่อครบขั้นตอน นาย A คือ นาย A ในโลกดิจิทัล จากนั้นนาย A ก็ต้องให้ความยินยอมคือการให้ e-consent ตามแบบที่กฎหมายกำหนด กรมสรรพากร เมื่อได้รับคำขอคัดแบบโดยมีคนทำ e-KYC e-Consent ให้แล้ว ก็จะสามารถปล่อยข้อมูลไปยังธนาคาร ก. ตามคำขอของนาย A ได้

ประเด็นคือ ถ้าเป็นหน่วยงาน องค์กร กิจการอื่น เขาจะทำอย่างไร เขาเก็บข้อมูลของนาย A เขาจะปล่อยข้อมูลออกไป เขาก็ต้องหาคนมาทำ หรือไม่งั้นก็มีระบบตรงกลางให้เขาเชื่อถือ ลดความเสี่ยงทางกฎหมาย เพราะถ้าเขาต้องทำเองทุก ๆ แห่ง มันจะเป็นต้นทุนของระบบคือทุกคนต้องทำเรื่องพิสูจน์ยืนยันตัวตนเอง ต้องบริหารจัดการความยินยอมเอง เพื่อรอตอนเจ้าของข้อมูลจะทำเรื่องมา องค์กรเหล่านั้นไม่ได้ประโยชน์ ธุระก็ไม่ใช่ มีต้นทุนเพิ่มในยามนี้ ดังนั้นการมี e-Consent Platform จะช่วยรักษาสิทธิเจ้าของข้อมูลจะยกเลิก เมื่อไหร่ ยกเลิกชุดข้อมูลใดไม่ให้แชร์ก็ทำได้ทุกเมื่อ คนที่จะปล่อยข้อมูลก็มาเช็กที่นี่ว่ามีความยินยอมถูกต้อง สามารถปล่อยข้อมูลไปยังจุดที่เจ้าของข้อมูลได้

วิธีคิดของผู้เขียนคือ ทำให้ข้อมูลเหมือนเงิน ที่โอนไปยังที่ใด ๆ ได้ตลอดเวลาตามความต้องการของผู้เป็นเจ้าของข้อมูลครับ มันทำได้ ทำได้แน่ ๆ เรามีคนเก่ง ๆ ที่สามารทำให้มันเกิดได้ ตอนนี้คือขอให้พวกมนุษย์เอ๊ะ มนุษย์ที่หิวแสง มนุษย์ที่ไม่รู้แล้วชอบพูดว่ารู้ กลับมาเงียบ กลับมารู้รักแผ่นดินถิ่นเกิด กลับมาทำหน้าที่พลเมืองที่ดี เลิกกวนใจคนที่ตั้งใจทำงาน ช่วยนั่งหายใจทิ้งเฉย ๆ ระบบและประเทศจะได้เดินหน้า Digital Lending ในรูปแบบที่ถูกต้องและทุกคนสามารถเข้าถึงได้ แบบเดียวกับระบบการโอนเงิน ค่าธรรมเนียมเป็นศูนย์ ที่มันได้ทำให้คนตัวเล็กตัวน้อยทำธุรกิจ ธุรกรรมได้โดยไม่มีภาระต้นทุน

Ease of Doing คือการทำแบบนี้ครับ ทำถนนให้คนทุกระดับและรถทุกประเภทสามารถใช้ได้ด้วยความปลอดภัย เท่าเทียม

กราบขอบคุณที่ติดตามครับ