posttoday

ให้คะแนนตลาดหุ้นต่างประเทศ ปี 2565

17 มกราคม 2565

คะแนนเต็ม 10 ผมให้คะแนนตลาดหุ้นที่น่าสนใจในปีนี้ ได้แก่ ตลาดหุ้นเวียดนาม, สหรัฐฯ และฮ่องกง 9, 8 และ 7 ตามลำดับ มาดูกันว่า เหตุใดผมจึงให้คะแนนตามนั้นครับ

เริ่มที่ตลาดหุ้นเวียดนามที่เป็น 1 ในตลาดที่ปรับขึ้นร้อนแรงที่สุดในปีที่ผ่านมา หลังดัชนีหลัก VN บวก 36% ขณะที่ดัชนี VN30 ที่ประกอบไปด้วยหุ้นขนาดใหญ่ 30 ตัวแรก พุ่งขึ้นกว่า 44% หลังรัฐบาลได้เปลี่ยนนโยบายควบคุม การระบาดของโควิด-19 จาก “Zero-COVID” เป็น “ใช้ชีวิตร่วมกับไวรัส” ทำให้ความเสี่ยงจากการล็อกดาวน์เข้มงวดที่อาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจลดน้อยลง ขณะที่ตัวเลข GDP ปี 2564 ยังโตได้ 2.58% ขยายตัว 2 ปีติดต่อกัน และทาง IMF คาดว่าจะกลับมาโตเด่นถึง 6.6% ในปี 2565 แสดงถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ยังแข็งแกร่ง

แม้ว่าหุ้นจะขึ้นมาแรงแล้ว แต่ผมยังให้คะแนนตลาดหุ้นเวียดนามที่ 9 เต็ม 10 เนื่องจากในปีนี้คาดการณ์กำไรของบริษัทในดัชนี VN ยังโตแข็งแกร่งถึงราว 25% เมื่อเทียบกับปีก่อน ในขณะที่ valuation น่าสนใจ โดย PE ปี 2565 อยู่เพียง 14 เท่า เทียบกับดัชนี SET ที่ราว 18 เท่า นอกจากนี้รัฐบาลเวียดนามมีแนวโน้มที่จะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยคาดว่าจะมีขนาดราว 5.5% ของ GDP ซึ่งสูงกว่ามาตรการกระตุ้นทั้งหมดในปี 2564 ที่ 2.9% อีกทั้งข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ RCEP ได้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2565 เป็นต้นไป คาดว่าจะเป็นแรงหนุนต่อยอดส่งออกของเวียดนามในปีนี้เช่นกัน โดยหุ้นเวียดนามที่ผมชอบมี 2 ตัว ได้แก่ 1.Vincom Retail (VRE) หรือ ผู้พัฒนาอสังหาฯ ประเภทห้างสรรพสินค้าอันดับ 1 ในเวียดนาม คล้ายกับ CPN ของไทย และ 2. Airports Corporation of Vietnam (ACV) หรือ เจ้าของสนามบิน 22 แห่ง ในเวียดนาม (เกือบทุกแห่ง) โดยบริษัทมีแผนย้ายจดทะเบียนจากตลาด UPCOM สู่ HOSE ภายในปีนี้อีกด้วย

ถัดมา คือ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งในปี 2564 ที่ผ่านมา ดัชนี S&P 500 บวกถึง 27% นับเป็นการบวก 3 ปีติดต่อกัน (ปี 2562 บวก 29% และ ปี 2563 บวก 16%) โดยหากพิจารณาเป็นรายอุตสาหกรรมจะพบว่า กลุ่มที่มีผลตอบแทนสูงที่สุด คือ กลุ่มพลังงาน (+47.7%), กลุ่มอสังหาฯ (+42.5%) และเทคโนโลยี (+33.4%) สาเหตุหลักมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงขยายตัวหลังเกิดวิกฤตโควิด-19 และกำไรของดัชนี S&P 500 ที่โตแกร่ง 45% เมื่อเทียบกับปีก่อน อย่างไรก็ดี นักลงทุนหลายท่านอาจตั้งคำถามว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะยังไปต่อได้หรือไม่ในปี 2565 หลังจากที่บวกติดต่อกันมาถึง 3 ปีแล้ว ทั้งนี้หากพิจารณาในเชิงสถิติของดัชนี S&P 500 ตั้งแต่ปี 2533 พบว่าดัชนีมีโอกาสสร้างผลตอบแทนเป็นบวกติดต่อกันมากที่สุดถึง 5 ปี ก่อนที่จะปรับตัวลงในปีถัดไป ดังนั้นแม้มีความเสี่ยงที่ในระยะสั้นหุ้นสหรัฐฯ อาจพักฐาน แต่ก็มีโอกาสเช่นกัน ที่การพักฐานนั้น เป็นการเตรียมตัวเพื่อจะขึ้นต่อในช่วงถัดไป

ด้วยเหตุนี้ ผมจึงให้คะแนนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ 8 เต็ม 10 เนื่องจากภาพรวมกำไรของบริษัทจดทะเบียนยังคาดว่าจะโตได้ 9-10%เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยผมแนะนำให้ลงทุนหุ้น Value 3 ตัวที่มูลค่ายังไม่แพง ได้แก่

1.Johnson & Johnson (JNJ) เนื่องจากมีธุรกิจกระจายตัวและเป็นหุ้นการแพทย์ในเชิง Defensive เหมาะสำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นปีนี้

2. Caterpillar (CAT) เนื่องจากคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากนโยบายโครงสร้างพื้นฐานระยะยาวมูลค่า 1.2 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 5% ของ GDP) ของ “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐ และกำไรเติบโตเด่นตามวัฏจักรของเศรษฐกิจ 3.Intel (INTC) เนื่องจากบริษัทอยู่ในช่วง Turnaround ธุรกิจ หลังได้ CEO ใหม่ “Pat Gelsinger” ในขณะที่หุ้นซื้อขายที่มูลค่าไม่แพง P/E ปี 2564 เพียง 15 เท่า

มาที่ฝั่งตลาดหุ้นฮ่องกง ตลาดสุดท้ายของบทความนี้ เรียกได้ว่าปี 2564 ถือเป็นปีแห่งมรสุมเลยก็ว่าได้ โดยดัชนีฮั่งเส็งปรับตัวลง 14% หลังมีหลายปัจจัยกดดัน เช่น การเข้ามาจัดระเบียบรายอุตสาหกรรม จากทางการจีนที่ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเทคฯ, การศึกษา หรือกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของประชาชนต่างโดนกันถ้วนหน้า อีกทั้งยังมีปัญหาขาดแคลนพลังงาน ที่ส่งผลให้ภาคการผลิตชะลอตัวลง และวิกฤตหนี้ในภาคอสังหาฯ ที่เข้ามากดดันการลงทุนในภาคเอกชนเช่นกัน นอกจากนี้ภาคการบริโภคยังถูกกดดัน ด้วยมาตรการที่เข้มงวด “Zero-COVID” กล่าวคือ หากเจอผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในจำนวนที่เพิ่มขึ้น รัฐบาลจะทำการล็อกดาวน์ทันที

อย่างไรก็ดี ผมมองว่าในเรื่องร้ายก็ยังมีเรื่องดี โดยเราอาจได้เห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่และนโยบายการเงินการคลังที่มีความผ่อนคลายมากขึ้นในช่วงไตรมาส 1 ปีนี้ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นจีน-ฮ่องกง กลับมาเป็นบวกอีกครั้ง หลังจากที่ทางการจีนมีท่าทีผ่อนคลายมากขึ้น ในงานประชุมด้านเศรษฐกิจประจำปี (CEWC) เมื่อเดือนธันวาคม ที่ผ่านมา โดยภาพรวมให้ความสำคัญต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจในปี 2565 ในขณะที่ประเด็นการจัดระเบียบยังคงต้องรอดูสัญญาณที่ชัดเจนมากกว่านี้ เช่น การเรียกบริษัทเทคฯ เข้าประชุมร่วมกับรัฐบาลจีน เป็นต้น

ผมจึงให้คะแนนตลาดหุ้นที่ 7 เต็ม 10 เพราะในเชิง Valuation ถือว่าน่าสนใจ หลัง Forward P/E ปี 2565 ของดัชนีฮั่งเส็งอยู่ที่ราว 11 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ราว 1 S.D.โดยหุ้นที่ชอบ ได้แก่ 1. NetEase (9999) บริษัทเกมอันดับ 2 รองจาก Tencent (700) มีแนวโน้มถูกเพ่งเล็ง จากทางการจีนน้อยกว่า และเตรียมเปิดตัวเกมใหม่เกาะธีม Metaverse และ 2. HKEX (388) หรือหุ้นตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงที่จะได้รับอานิสงส์จากแนวโน้มการ IPO ในตลาดหุ้นฮ่องกงของบริษัทจีน จากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีน อีกทั้งมีแรงหนุนจากโครงการ Stock Connect ที่เดินหน้าขยายผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ต่อเนื่อง

ทั้งหมดนี้ คือมุมมองที่นำมาฝากกันในต้นปีนี้ โดยนักลงทุนสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.bualuang.co.th/globalinvesting และ https://knowledge.bualuang.co.th/article-categories/globalinvesting/ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 0-2618-1111 ในวันและเวลาทำการ สวัสดีปีใหม่ครับ