posttoday

ค่าเงินบาทไทย ติดตามรายงานการประชุมเฟด

03 มกราคม 2565

เงินบาทมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 32.80-33.80 ในสัปดาห์นี้ ปัจจัยสำคัญในประเทศที่ต้องติดตามคือรายงานการประชุมเฟด

คอลัมน์ มันนี่วีก (Money…week) โดย...กฤติกา บุญสร้าง, มนัสวิน ฐิติสมบูรณ์ สายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย

สายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทยประเมินว่า เงินบาทมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 32.80-33.80 ในสัปดาห์นี้ ปัจจัยสำคัญในประเทศที่ต้องติดตามคือรายงานการประชุมเฟดจากการประชุมในช่วงวันที่ 14-15 ธันวาคม 2021 ซึ่งจะเปิดเผยถึงรายละเอียดในการตัดสินใจเร่งลดคิวอีเป็น 2 เท่าของเฟด รวมถึงมุมมองต่อเงินเฟ้อและตลาดแรงงานด้วย ทั้งนี้ สหรัฐฯ จะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรในเดือนธันวาคมที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 4 แสนตำแหน่ง จากระดับ 2.1 แสนตำแหน่งในเดือนก่อนหน้า และอัตราการว่างงานที่คาดว่าจะลดลงเป็น 4.10% จาก 4.20% ในเดือนพฤศจิกายน

ด้านยุโรปและไทยจะมีการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่เป็นปัจจัยที่หลายประเทศให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นในระยะนี้ นอกจากนี้ ในสัปดาห์ต้นเดือนจะมีการประกาศดัชนีผู้จัดการฝ่ายซื้อทั้งภาคการผลิตและภาคการบริโภคของทั้งอเมริกา ยุโรป และเอเชียด้วย

ภาพรวมตลาดอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงวันที่ 27-30 ธันวาคม 2564 ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่ภาครัฐยืนยันว่าจะไม่ประกาศใช้มาตรการปิดเมืองในช่วงปีใหม่ พร้อมทั้งตั้งเป้าฉีดวัคซีนให้ได้ 80% ในปี 2022 และอนุมัติวงเงิน 31,662 ล้านบาท เพื่อจัดการกับโควิด-19 นอกจากนี้ ยังมีการจำลองสถานการณ์แพร่ระบาดที่ผู้ติดเชื้อใหม่อาจเพิ่มขึ้นถึง 15,000 คนต่อวัน แต่หากสถานการณ์แย่กว่าที่คาดผู้ติดเชื้อใหม่อาจพุ่งสูงถึง 30,000 คนต่อวัน ในขณะที่ผู้เสียชีวิตอาจพุ่งสูงถึง 170-180 คนต่อวัน จากปัจจุบันที่พบผู้ติดเชื้อโอไมครอน 740 ราย ใน 33 จังหวัด โดยในจำนวนนี้เป็นผู้มาจากต่างประเทศ 489 ราย

ด้านค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเล็กน้อย ท่ามกลางธุรกรรมที่ค่อนข้างบางในช่วงเทศกาลคริสมาสต์และปีใหม่ ด้านไบเดนเตรียมพิจารณาแต่งตั้งสมาชิกเฟด 3 คน เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่างลง โดยกำลังพิจารณาซาราห์ รัสกิ้น อดีตสมาชิกเฟด ลิซ่า คุก ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ที่ Michigan State University และฟิลิป เจฟเฟอร์สัน นักเศรษฐศาสตร์จาก Davidson College นอกจากนี้ ด้านความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซีย ยังคงต้องติดตามความคืบหน้าของการพูดคุยกันระหว่างไบเดนและปูติน ในประเด็นกำลังทหารของรัสเซียในพื้นที่ใกล้กับชายแดนยูเครนด้วย

ด้านโควิด-19 จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่รายวันพุ่งทำสถิติใหม่ของโลก และในหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศในแถบยุโรป ทำให้หลายประเทศเร่งการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น และเริ่มใช้มาตรการที่เข้มงวดขึ้น เช่น การบังคับให้ใส่หน้ากากอนามัย ด้าน ดร.แอนโทนี ฟอซี ระบุว่าสายพันธุ์โอไมครอนทำให้เกิดอาการป่วยที่รุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์เดลต้า ในขณะที่องค์การอนามัยโลกเตือนว่าโควิด-19 อาจกลายพันธุ์เพิ่มขึ้นในอนาคตและอาจมีคุณสมบัติต่อต้านวัคซีนด้วย

ด้านจีน ธนาคารกลางจีนระบุว่าจะผ่อนคลายและเพิ่มความยืดหยุ่นแก่นโยบายการเงินในปี 2022 พร้อมทั้งอัดฉีดสภาพคล่อง 2 แสนล้านหยวนเข้าสู่ระบบ ท่ามกลางความกังวลต่อการผิดนัดชำระหนี้ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ทำให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์ของจีนหลายบริษัทถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ในขณะที่กำไรภาคอุตสาหกรรมจีนในเดือนพฤศจิกายนชะลอตัวลงอยู่ที่ 9.0%YoY จากเดือนก่อนที่ 24.6%YoY

เงินบาทปิดตลาดที่ 33.41 ในวันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม 2564 ณ เวลา 17.00 น.

ภาพรวมตลาดตราสารหนี้ในสัปดาห์ที่ผ่านมาอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของประเทศสหรัฐฯ อายุ 10ปี ปรับตัวสูงขึ้นทะลุระดับ 1.50% โดยสาเหตุหลักมาจากผลการประมูลพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ออกมาไม่ค่อยดีนัก เพราะอุปสงค์ของการเข้าประมูลค่อนข้างเบาบาง เนื่องจากตลาดอยู่ในช่วงของการเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวสูงขึ้นภายหลังการประมูล ขณะที่ในมุมมองของนักลงทุนส่วนใหญ่คิดว่าทิศทางของอัตราดอกเบี้ยยังคงเป็นขาขึ้นในปีหน้า ซึ่งหากดูตัวเลขในตลาดฟิวเจอร์ โดย FED Fund Future ได้ให้โอกาสของการขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกอยู่ในเดือนพฤษภาคมของปี 2022

ค่าเงินบาทไทย ติดตามรายงานการประชุมเฟด

ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย เคลื่อนไหวทรงตัวใกล้เคียงกับระดับปิดในสัปดาห์ก่อนหน้าพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เบาบาง โดยกระแสเงินทุนต่างชาติในสัปดาห์ที่ผ่านมาไหลออกจากตลาดตราสารหนี้ไทยมูลค่าสุทธิประมาณ 1,931 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น 1,739 ล้านบาท ขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว 192 ล้านบาทและไม่มีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ ส่งผลให้ ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2564 อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยรุ่นอายุ 1, 2, 3, 5, 7 และ 10ปี อยู่ที่ 0.51% 0.66% 0.84% 1.29% 1.62% และ 1.90% ตามลำดับ