posttoday

เลือกหุ้น Tech กลุ่มไหน กำไรปังปีหน้า

18 พฤศจิกายน 2564

โดย ภาคภูมิ พีรยวัฒนา AFPT™

Wealth Manager ธนาคารทิสโก้

การปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (US 10  Year Bond Yield) ถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่จุดชนวนให้เกิดการปรับฐานของหุ้นกลุ่ม Technology ซึ่งถือเป็นหุ้นกลุ่มที่ได้ปรับตัวขึ้นมาอย่างร้อนแรงในปีที่แล้วภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทั่วโลก ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนรวมประเภท Thematic Funds ส่วนใหญ่ในปีนี้ มีผลตอบแทนที่ไม่ดีนักเมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหุ้นโดยรวม

ส่วนหนึ่งในทางทฤษฎี เมื่อ Bond Yield ปรับตัวเพิ่มขึ้น มักจะส่งผลกระทบในเชิงลบต่อ Valuation ของหุ้นให้มีการลดลง โดยหุ้นประเภทที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดและมีความผันผวนที่สูงกว่าหุ้นในอุตสาหกรรมอื่นๆ ก็คือ หุ้นกลุ่ม Technology ที่มักจะเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตของกระแสเงินสดในอนาคตสูง ทำให้ตามหลักการประเมินมูลค่าหุ้นด้วยวิธี DCF (Discounted Cash Flow) ที่ใช้ Bond Yield เป็นปัจจัยในการคำนวณแล้ว จะได้มูลค่าหุ้น Technology ที่ลดลงจากเดิมค่อนข้างมากจากการที่ Bond Yield ปรับตัวเพิ่ม นอกจากนี้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา หลังจากที่หลายประเทศได้มีการเปิดเมือง ก็เป็นอีกตัวเร่งที่สำคัญที่นำไปสู่การโยกย้ายเม็ดเงินลงทุน (Sector Rotation) จากอุตสาหกรรมแบบ New Economy กลับไปยังอุตสาหกรรมแบบ Old Economy ที่กลับมาฟื้นตัวได้อย่างแรงในปีนี้ เช่น หุ้นกลุ่มวัฎจักร (Cyclical Stocks) 

คำถามคือ ในช่วงไตรมาส 4/2021 ที่เรากำลังเข้าสู่วัฎจักรที่ Fed จะทำการปรับลดวงเงินการเข้าซื้อสินทรัพย์ (QE Tapering) และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า Bond Yield จะปรับตัวขึ้นต่อและเป็นปัจจัยที่คอยกดดันหุ้นกลุ่ม Technology อีกหรือไม่? ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) มองว่า Bond Yield ที่ระดับปัจจุบันได้ซึมซับแนวโน้มการลด QE และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ในปีหน้าไปมากแล้ว หากพิจารณาจากตลาดซื้อขายอัตราดอกเบี้ยล่วงหน้า ซึ่งสะท้อนการคาดการณ์ว่า Fed จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยปีละ 2 ครั้งต่อเนื่องไปจนถึงปี 2024 ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายจะขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 1.75%  ณ สิ้นปี 2024 ใกล้เคียงกับดอกเบี้ยคาดการณ์ของ Fed (Dot Plot) ทำให้เราเชื่อว่าในระยะถัดไป Bond Yield น่าจะเริ่มปรับขึ้นได้อย่างจำกัดและลดแรงกดดันที่มีต่อตลาดหุ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบรรดาหุ้นกลุ่ม Technology และทำให้หุ้นเหล่านี้มีโอกาสฟื้นตัวกลับมาได้  

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนต้องพิจารณา ก่อนที่จะเลือกลงทุนหุ้นกลุ่ม Technology ก็คือ แนวโน้ม “การเติบโตของรายได้” ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนราคาหุ้นประเภทนี้ ที่มักจะมี Business Model ที่มุ่งเน้นไปที่การเติบโตของรายได้มากกว่าความสามารถในการทำกำไรในปัจจุบันหรือการจ่ายปันผลในอัตราที่สูง โดยนักลงทุนสามารถลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางธุรกิจของหุ้น Technology ได้ ด้วยการเลือกลงทุนหุ้น Technology กลุ่มที่กำลังอยู่ในระยะ “Early Majority” (แผนภาพที่ 1) เนื่องจากเป็นช่วงที่รายได้ของกิจการกำลังมีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาใช้งาน Product หรือ Platform ของบริษัท ในขณะที่คุณภาพของกระแสเงินสดและกำไรของกิจการเริ่มมีเสถียรภาพและมีการเร่งตัวขึ้นจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นและต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วยของธุรกิจที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้หุ้น Technology ที่อยู่ในระยะ Early Majority สามารถสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นและสม่ำเสมอให้กับพอร์ตการลงทุนได้บนความเสี่ยงที่ไม่สูงจนเกินไป 

แผนภาพที่ 1 : Adoption Stages ของแต่ละกลุ่ม Technology

ที่มา: Global X ETFs

จากตัวเลขประมาณการณ์ล่าสุดของ Bloomberg Consensus พบว่า หุ้นกลุ่ม Technology ที่กำลังอยู่ในระยะ Early Majority ส่วนใหญ่ ถือเป็นกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตของรายได้ในช่วง 12 เดือนข้างหน้าที่โดดเด่นที่สุด อุตสาหกรรมเหล่านี้ได้แก่ E-commerce, Video Games & Esports, Cybersecurity และ Cloud Computing โดยนักวิเคราะห์มีการคาดการณ์อัตราการเติบโตของรายได้ของบริษัทเหล่านี้สูงถึง 30%, 25%, 23% และ 20% ตามลำดับ หากนำไปเปรียบเทียบกับตัวเลขคาดการณ์การเติบโตของรายได้บริษัทในดัชนี S&P 500 ซึ่งอยู่ที่ระดับเพียง 8% ในช่วงเวลาเดียวกัน การเติบโตของรายได้ของหุ้นกลุ่ม Technology เหล่านี้ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าสนใจในฐานะหุ้นเติบโต

จะเห็นได้ว่า การลงทุนในหุ้นกลุ่ม Technology ยังมีอนาคตในการเติบโตที่สูงอย่างต่อเนื่องล้อไปกับ Megatrends ของโลกและถือเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีเป้าหมายที่จะสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าตลาด ทั้งนี้ นักลงทุนควรมีกลยุทธ์และหลักเกณฑ์ในการคัดสรรธีมการลงทุนในหุ้น Technology โดยเน้นลงทุนธุรกิจที่อยู่ในช่วง Early Majority ที่มีรายได้เติบโตสูงและกระจายความเสี่ยงการลงทุนในแต่ละธีมอย่างเหมาะสม เราเชื่อว่าภายใต้บริบทที่ปัจจัยกดดันมูลค่าหุ้น Technology อย่างเช่น การปรับตัวขึ้นของ Bond Yield ที่เริ่มจำกัดลงในระยะข้างหน้า บวกกับการเติบโตของรายได้หุ้นกลุ่มนี้ที่ยังอยู่ในระดับสูง การลงทุนในหุ้นกลุ่ม Technology ผ่านกองทุนรวม Thematic Funds จะกลับมาสร้างผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยมให้กับนักลงทุนได้ในระยะยาว