posttoday

ค่าเงินบาท ติดตามตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐฯ

28 มิถุนายน 2564

ธนาคารกสิกรไทยประเมินว่า เงินบาทมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 31.50-32.00 ในสัปดาห์นี้ ปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตามองคือพัฒนาการของตลาดแรงงานสหรัฐฯ

คอลัมน์ มันนี่วีก (Money… week) โดย...กฤติกา บุญสร้าง, มนัสวิน ฐิติสมบูรณ์ สายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย

สายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทยประเมินว่า เงินบาทมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 31.50-32.00 ในสัปดาห์นี้ ปัจจัยที่ส่งผลต่อตลาดในสัปดาห์นี้ประเมินว่าจะอยู่ที่ช่วงปลายสัปดาห์ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตามองคือพัฒนาการของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ทั้งตัวเลขการว่างงาน การมีส่วนร่วมในกำลังแรงงาน และการจ้างงานนอกภาคการผลิต ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่เฟดจะใช้ในการพิจารณาในการดำเนินนโยบายการเงินในระยะถัดไป ทางฝั่งยุโรปจะมีการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อและความเชื่อมั่นผู้บริโภคยูโรโซน รวมถึงจีดีพีไตรมาสที่ 1 ของอังกฤษ โดยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยูโรโซนมีแนวโน้มชะลอลงจากการชะลอการเปิดเมือง ทางด้านภาคธุรกิจติดตามตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อด้านการผลิต (Manufacturing PMI) ในเดือนมิถุนายนของประเทศต่างๆ รวมทั้งสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน ซึ่งมีแนวโน้มว่าภาคการผลิตจะขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงจากการที่ผู้บริโภคเปลี่ยนจากการบริโภคสินค้าไปบริโภคการบริการมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ โอเปกพลัสจะมีการประชุมเพื่อกำหนดปริมาณการผลิต ซึ่งจะส่งผลต่อราคาพลังงานที่ร้อนแรงอยู่ในตอนนี้ ทางด้านในประเทศ จะมีการประกาศตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีพัฒนาการขึ้น จากที่ติดลบต่อเนื่องในเดือนก่อนหน้า

ภาพรวมตลาดอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงวันที่ 21-25 มิถุนายน 2564 เงินบาทผันผวนอย่างมาก ในทิศทางอ่อนค่า ในช่วงต้นสัปดาห์ เงินบาทอ่อนค่าจากระดับเปิดตลาดในวันจันทร์ที่ 31.38 ไปแตะระดับสูงสุดในช่วงระหว่างวันของวันพฤหัสบดีที่ 31.96 ก่อนจะทยอยกลับมาแข็งค่าและปิดตลาดที่ 31.78 ณ วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน ณ เวลา 16.30 น.

เงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่องมาตั้งแต่หลังจากการประชุมนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเฟดมีท่าทีชัดเจนว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ตลาดประเมินไว้ โดยมีแนวโน้มขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 2 ครั้งภายในปี 2023 พร้อมทั้งส่งสัญญาณว่าเริ่มหารือการลดขนาดมาตรการซื้อสินทรัพย์ไปบ้างแล้ว แต่ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน นอกจากนี้ แม้ว่าคณะรัฐมนตรีจะอนุมัติการเปิดภูเก็ตตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม เพื่อรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยไม่ต้องกักตัว แต่ทำให้เกิดความกังวลต่อการระบาดของโควิด-19 ที่อาจรุนแรงขึ้น ขณะเดียวกัน ทางการไทยรายงานจำนวนติดเชื้อสายพันธุ์เดลต้าในไทยมากขึ้น และมีจำนวนผู้เสียชีวิตของโควิด-19 สูงสุด ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อเงินบาท

ด้านเศรษฐกิจในประเทศ คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยมีมติคงอัตราดอกเบี้ย และส่งสัญญาณชัดเจนว่าต้องการใช้มาตรการด้านสินเชื่อที่ประเมินว่าจะตรงจุดในการช่วยเหลือภาคเอกชนและครัวเรือนได้มากกว่านโยบายดอกเบี้ย ทำให้ กนง. มีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยยาวนาน นอกจากนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยยังลดคาดการณ์จีดีพีมาอยู่ที่ 1.8% ปี 2021 และ 3.9% ในปี 2022 จากประมาณการเดิม ณ เดือนมีนาคมที่ 3.0% และ 4.9% ตามลำดับ โดยมองจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยเพียง 7 แสนคน จากเดิมที่ประเมิน 3 ล้านคน ทำให้ภาพรวมของดุลบัญชีเดินสะพัดปีนี้มีแนวโน้มขาดดุล 1.5 พันล้านดอลลาร์ ส่วนมูลค่าส่งออกตามระบบศุลกากรเดือนพฤษภาคมขยายตัวสูง โดยมาจากทั้งปัจจัยฐานที่ต่ำมากในปีก่อน และอุปสงค์ในตลาดโลกที่ค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ทั้งสองปัจจัยนี้ไม่ได้มีผลต่อเงินบาทมากนัก เนื่องจากตลาดได้ประเมินแนวโน้มการลดคาดการณ์จีดีพี และการขยายตัวในระดับสูงของมูลค่าส่งออกไทยไว้ก่อนหน้านี้แล้ว

ภาพรวมตลาดตราสารหนี้ในสัปดาห์ที่ผ่านมาประเด็นหลักที่นักลงทุนต้องติดตามอย่างต่อเนื่องคือการปรับตัวของเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (US Treasury Yield Curve) กล่าวคือตั้งแต่ภายหลังการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ในวันที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมา ความชันของเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับลดลง ซึ่งเป็นการปรับตัวแบบที่เราเรียกว่า “Bear Flattening” หมายถึงอัตราผลตอบแทนตัวสั้นปรับตัวสูงขึ้นจนทำให้ spread ของพันธบัตรระยะสั้นกับระยะยาวปรับตัวแคบลง โดย spread ระหว่างพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2 ปี กับ 10ปีปรับตัวลดลงมาอยู่แถวบริเวณ +122 bps และ spread ระหว่างพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี กับ 30ปี ปรับตัวลดลงมาอยู่แถวบริเวณ +117 bps ซึ่งเมื่อเทียบกับจุดสูงสุดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม spread เคยขึ้นไปอยู่ที่ +158 bps และ +162 bps ตามลำดับ การเปลี่ยนรูปแบบความชันของเส้นอันตราผลตอบแทนจากรูปแบบ Bear Steepening ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา มาเป็นการปรับตัวในลักษณะ Bear Flattening กำลังสื่อถึงภาวะเศรษฐกิจสหรัฐที่กำลังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง จากในช่วงต้นปีที่เริ่มเห็นสัญญาณของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและความคาดหวังว่าอัตราเงินเฟ้อจะมีแนวโน้มสูงขึ้นภายใต้สภาวะที่ยังคงต้องการการสนับสนุนจากธนาคารกลาง แต่ในตอนนี้ดูเหมือนว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจกำลังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และเริ่มเข้าสู่ช่วงกลางของวัฏจักรเศรษฐกิจ ทำให้นักลงทุนเริ่มให้ความสำคัญกับการที่ธนาคารกลางจะเริ่มลดขนาดมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมไปถึงจังหวะที่จะต้องลดความร้อนแรงของการขยายตัวเศรษฐกิจผ่านการขึ้นอัตราดอกเบี้ย จึงเป็นสาเหตุที่ว่าในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 2ปี กับ 5ปี ซึ่งมักจะเคลื่อนไหวไปตามการคาดการณ์ของดอกเบี้ยนโยบายได้ปรับตัวสูงขึ้นนั่นเอง ซึ่งประเด็นดังกล่าวสอดคล้องกับตลาด future โดยนักลงทุนเริ่ม price in โอกาสที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยเริ่มปรับสูงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2022 เป็นต้นไป

ขณะที่ความเคลื่อนไหวของพันธบัตรรัฐบาลไทยมีประเด็นสำคัญคือผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย ที่มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ตามความคาดหมายของตลาด รวมไปถึงออกมาปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยในปีนี้ลดเหลือ 1.8% จากก่อนหน้านี้ที่ประเมินไว้ 3.0% พร้อมกับปรับลดคาดการณ์จีดีพีในปีหน้าจาก 4.7% เป็น 3.9% ซึ่งจะเห็นได้ว่าประเทศไทยยังเผชิญกับแรงกดดันจากการระบาดของไวรัสโควิด19 ทำให้เราเห็นแรงเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาล โดย ณ วันที่ 25 มิถุนายน 2564 อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยรุ่นอายุ 1, 2, 3, 5, 7 และ 10ปี อยู่ที่ 0.48% 0.51% 0.61% 0.86% 1.28% และ 1.81% ตามลำดับ

ค่าเงินบาท ติดตามตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐฯ

กระแสเงินทุนต่างชาติในสัปดาห์ที่ผ่านไหลเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้ไทยเป็นสัปดาห์ที่ 5 ติดต่อกันรวมมูลค่าสุทธิประมาณ 1,369 ล้านบาท ซึ่งเป็นการซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น 6,662 ล้านบาท ขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว 4,707 ล้านบาท และมีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ 586 ล้านบาท

ข่าวล่าสุด

ลดราคาน้ำมันดีเซล-เบนซิน 50 สตางค์ต่อลิตร มีผล 24 ธ.ค.68