posttoday

ลุ้นประชุมนโยบายการเงินของ กนง. และรายงานการจ้างานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯ

03 พฤษภาคม 2564

คอลัมน์ มันนี่วีก (Money… week) โดย...พีรพรรณ สุวรรณรัตน์, มนัสวิน ฐิติสมบูรณ์ สายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย

สายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทยประเมินว่า เงินบาทมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 31.00-31.50 ในสัปดาห์นี้ นักลงทุนยังคงติดตามมาตรการควบคุมการระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ทั่วโลก อินเดียเตรียมฉีดวัคซีนให้ทุกคนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และไทยยกระดับการควบคุมการระบาดตั้งแต่ 1 พฤษภาคม นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอติดตามตัวเลขตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ซึ่งมีแนวโน้มดีขึ้นหลังชาวอเมริกันฉีดวัคซีนและมีมาตรการการคลัง และมีแนวโน้มสนับสนุนความเชื่อมั่นต่อสหรัฐฯ และเงินดอลลาร์ ส่วนไทย ตลาดประเมินว่ากระทรวงพาณิชย์จะประกาศอัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับมาเป็นบวก ปัจจัยดังกล่าวสนับสนุนเงินบาทในระยะสั้น ขณะที่การระบาดของไวรัสในประเทศมีแนวโน้มกดดันเงินบาทต่อไป ด้านนโยบายการเงิน กนง. มีกำหนดประชุมนโยบายการเงินในสัปดาห์นี้ เช่นเดียวกับธนาคารกลางอังกฤษ มาเลเซีย และออสเตรเลีย โดยประเมินว่าธนาคารกลางทั้งหมดจะผ่อนคลายทางการเงินอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ ธปท. ส่งสัญญาณลดคาดการณืจีดีพีจากการระบาดของไวรัสรอบที่ 3 ดังนั้น ต้องติดตามความเห็นของ กนง. ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มให้เงินบาทอ่อนค่าได้

ภาพรวมตลาดอัตราแลกเปลี่ยนในสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ 31.15-31.50 เงินบาทเปิดตลาดอ่อนค่าสวนทางกับค่าเงินสกุลเอเชียอื่นๆ จากความกังวลเกี่ยวกับการระบาดของไวรัสที่รุนแรงขึ้นและรัฐบาลเตรียมออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อควบคุมการระบาด ทั้งนี้ การหารือของหารือของรัฐบาลกับภาคเอกชนเกี่ยวกับแนวทางในการเร่งกระจายวัคซีนได้ข้อสรุปว่า ภาคเอกชนจะช่วยเร่งฉีดวัคซีน ทำให้ศักยภาพการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้น 30,000 โดสต่อวัน ส่วนกระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยแผนการฉีดวัคซีนตั้งแต่มิถุนายนสอดคล้องกับแผนการส่งมอบวัคซีนของ SiamBioscience ผู้สูงอายุและกลุ่มเปราะบางจำนวน 16 ล้านคนจะได้รับวัคซีนในช่วงมิถุนายน-กรกฎาคม และกลุ่มที่เหลือจะเริ่มฉีดในเดือนสิงหาคม

เงินบาทกลับมาแข็งค่ารวดเร็วในช่วงกลางสัปดาห์เนื่องจากความเชื่อมั่นต่อเงินดอลลาร์ลดลงหลังเฟดส่งสัญญาณว่ายังไม่พิจารณาการลดขนาดมาตรการซื้อสินทรัพย์ โดยที่ประชุมนโยบายการเงินประเมินว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างชัดเจนจากโควิด-19 และความเสี่ยงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจลดลง อย่างไรก็ตาม โพเวลประธานเฟดกล่าวว่า การฟื้นตัวนี้ยังไม่เท่าเทียมกันและยังใช้เวลาอีกนานกว่าจะกลับสู่ภาวะก่อนวิกฤต ทำให้ที่ประชุมมีมติคงดอกเบี้ยนโยบายและขนาดการซื้อสินทรัพย์ใว้ระดับปัจจุบัน ทั้งนี้ เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 31.14 (วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564 เวลา 17.00 น)

ภาพรวมตลาดตราสารหนี้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของประเทศสหรัฐฯ อายุ 10ปี ปรับตัวสูงขึ้นตลอดทั้งสัปดาห์ โดยประเด็นสำคัญที่ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวสูงขึ้นคือภาพของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง สะท้อนผ่านการประกาศจีดีพีเบื้องต้นไตรมาสที่ 1/2021 ที่ขยายตัว 6.4%QoQ ต่อปี จาก 4.3% ในไตรมาสก่อน นอกจากนี้ยอดขอรับสวัสดิการว่างงานเบื้องต้นสหรัฐฯ ลดลงมาต่ำสุดนับตั้งแต่มีการระบาดในสัปดาห์ก่อนที่ 553,000 คน จาก 566,000 คนในสัปดาห์ก่อนหน้า รวมไปถึงความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ ที่เร่งตัวขึ้นสอดคล้องกับพัฒนาการของเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน โดยดัชนีความเชื่อมั่นอยู่ที่ 121.7 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่ 109 ประกอบกับในช่วงกลางสัปดาห์ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีมติคงนโยบายการเงินตามเดิม โดยคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ใกล้ศูนย์และคงวงเงินซื้อสินทรัพย์ที่ 1.2 แสนล้านดอลลาร์ต่อเดือนตามเดิมจะเป็นแรงสนับสนุนให้การฟื้นตัวในครั้งนี้เป็นไปอย่างแข็งแรง

ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบ โดยประเทศไทยมีปัจจัยเสี่ยงภายในประเทศคือการระบาดของไวรัสโควิค-19 รอบสาม ทำให้กระทรวงการคลังได้ออกมาปรับลดคาดการณ์จีดีพีไทยปีนี้ลงมาอยูที่ 2.3% จาก 2.8% ที่ประมาณการในเดือนมกราคม ซึ่งการระบาดของโควิด-19 รอบที่สามทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศชะลอลง และประเมินว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเพียง 2 ล้านคนจากเดิมที่คาดไว้ 5 ล้านคน ขณะที่ประเด็นสำคัญที่นักลงทุนต้องติดตามคือการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินน่าจะมีมติคงนโยบายการเงินไว้ตามเดิม โดย ณ วันที่ 30 เมษายน 2564 อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยรุ่นอายุ 1, 2, 3, 5, 7 และ 10ปี อยู่ที่ 0.45% 0.53% 0.69% 1.06% 1.44% และ 1.82% ตามลำดับ

ลุ้นประชุมนโยบายการเงินของ กนง. และรายงานการจ้างานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯ

กระแสเงินทุนต่างชาติในสัปดาห์ที่ผ่านไหลเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้ไทยรวมมูลค่าสุทธิประมาณ 13,797 ล้านบาท ซึ่งเป็นการซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น 2,365 ล้านบาท ซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว 11,502 ล้านบาท และมีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ 70 ล้านบาท