posttoday

พ.ร.ก. มาแล้ว การ Jump Start เพื่อเดินธุรกิจต่อไปก็จำเป็น

12 เมษายน 2564

คอลัมน์ เศรษฐกิจคิดง่ายๆ ตอนที่ 17/2564 โดย...สุรพล โอภาสเสีถยร ผู้จัดการใหญ่ เครดิตบูโร

ในช่วงวันที่ 10 เมษายน 2564 ได้มีการเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เรื่อง "พระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2564" วงเงินไม่เกิน 3.5 แสนล้านบาท ตามที่เราได้ทราบความกันแล้วเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2564 ซึ่งในวันนั้นมีทั้งมติคณะรัฐมนตรี การแถลงข่าวของกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สมาคมสถาบันการเงินเฉพาะกิจ สภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม หากนับเวลาจากวันนั้นจนกฎหมายออกมาแล้ว จะพบว่ามีความเร่งด่วนมากๆ

นอกจากนี้ในด้านสาธารณสุขก็ยังมีเรื่องทั้งดีและร้าย ที่ดีคือวัคซีนมาเพิ่ม มีการตั้งคณะคุณหมอไปดูแลการที่เราจะมีวัคซีนทางเลือกจากภาคเอกชน (โรงพยาบาลเอกชน) ตัวเลขน่าจะไม่หนี 10 ล้านโดส ข่าวร้ายคือการแพร่ระบาด COVID-19 รอบใหม่ที่มีการพูดถึงสายพันธุ์ที่แพร่ได้เร็ว ข่าวกึ่งดีกึ่งร้ายคือการเตรียมพร้อมของโรงพยาบาลสนาม สถานการณ์ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงคือ การเดินทางกลับภูมิลำเนาในเทศกาลสงกรานต์ มาตรการในปี 2564 เบากว่าปี 2563 มากๆ เหตุเพราะถ้าทำแรง มันกระทบสูง ตามมาด้วยการเยียวยา ตามมาด้วยการใช้เงินภาครัฐ การก่อหนี้ และอื่นๆ อีกมากมาย ที่จะกระทบต่อการดำเนินนโยบาย การดำเนินธุรกิจที่มีความเปราะบางในเวลานี้

ผู้เขียนอยากให้ท่านผู้อ่านได้ลองดูข้อมูลท้ายพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ซึ่งเป็นเหตุว่าทำไมจึงต้องมีกฎหมายนี้ มีทำไม มีแล้วต้องการแก้ปัญหาอะไร ความมุ่งหมายของสิ่งที่ออกมาบังคับใช้คืออะไร เพื่อให้เราๆ ท่านๆ เข้าอกเข้าใจการดำเนินนโยบายภาครัฐดังนี้

เหตุผลในการประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉบับนี้ เนื่องจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างและยาวนานกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม (ผู้เขียน : ขีดเส้นใต้คำว่ายาวนานกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม) ส่งผลให้ความเสี่ยง ด้านเครดิตในระบบการเงินของประเทศปรับสูงขึ้นมาก

ผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นตัว (ผู้เขียน : ชัดเจนว่าภาคการท่องเที่ยวที่มีสัดส่วนในผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) 12% น่าจะกลับมาได้ปี 2567 ตามการบรรยายของ CEO ค่ายแบงก์สีเขียว) และต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถกลับมาประกอบธุรกิจได้ (ผู้เขียน : พ.ร. ก. เดิมมันปล่อยไปได้ประมาณ 1.5 แสนล้านบาทจากวงเงิน 5 แสนล้านบาท มันติดขัดหลายเงื่อนไข) จึงจำเป็นต้องมีมาตรการทางการเงินเพื่อสร้างสภาพคล่องเพิ่มเติม แก่ผู้ประกอบธุรกิจให้สอดคล้องกับวัฏจักรการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจโลก (ผู้เขียน : ครั้งนี้ทุกภาคส่วนทั้งสมาคมคนให้กู้ สมาคมคนขอกู้ ผู้คุมกติกา มารวมกันคิดจนเป็นเงื่อนไขใหม่ที่น่าจะรับกันได้)

รวมถึงมีมาตรการลดภาระหนี้ของผู้ประกอบธุรกิจ (พักทรัพย์ พักหนี้) โดยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบธุรกิจโอนทรัพย์สินชำระหนี้แก่สถาบันการเงินโดยมีเงื่อนไข ซื้อคืนในราคาที่โอนไปและมีสิทธิเช่าทรัพย์สินนั้นกลับไปใช้ประกอบธุรกิจ (ผู้เขียน : ขายหลักประกันให้เจ้าหนี้ตามราคาที่ตกลงกันเพื่อหักกับหนี้ ดอกเบี้ยก็ไม่เกิด เงินต้นก็ไม่ต้องส่ง จากนั้นหา Biz Model มาดำเนินธุรกิจโดยการขอเช่าทรัพย์สินที่ตีโอนชำระหนี้ไปมาทำมาหากิน รักษาการจ้างงาน ครบกำหนดในอนาคตวันหน้าก็ไปกู้มาซื้อทรัพย์สินอันนี้คืนในราคาที่ตกลงกันวันนี้) เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสภาวะ ขาดสภาพคล่องหรือผิดนัดชำระหนี้อันจะส่งผลต่อฐานะทางการเงินของสถาบันการเงิน และต่อเสถียรภาพ ทางการเงินและความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างรุนแรง (ผู้เขียน : ถ้าไม่ทำก็จะมีหนี้เสียเยอะ หนี้เสียเยอะก็จะทำให้สถาบันการเงินอ่อนแอ คล้ายๆ กับวิกฤติปี 2540 ที่สำคัญคือถ้าไม่มีโกดังมาเก็บหนี้เอาไว้ มันก็ต้องบังคับตามสัญญาเงินกู้ กลายเป็นทรัพย์สินรอการขาย ต้องกันสำรองการด้อยค่า ตามมาด้วยปัญหาอีกมากมาย จุดสำคัญอีกเรื่องคือ การถูกบังคับขายมากๆ ราคาทรัพย์สินจะตกลงมาก ไม่สะท้อนกับคุณค่า เป็นโอกาสให้คนมีเงิน ทุนต่างชาติ กดราคาซื้อให้ต่ำกว่าคุณ?ค่าทรัพย์สิน ที่เราเรียกว่าราคาโปรไฟไหม้ หรือ Firesale ปัญหาอีกเรื่องคือราคาที่ไม่สะท้อนนี้จะมีส่วนทำให้การประเมินราคาหลักประกันในสินเชื่อที่ปล่อยไปแล้วส่วนอื่นๆ อาจถูกประเมินลดลง การกันสำรองต้องเพิ่ม มันก็อาจจะซ้ำเติมปัญหาให้ระบบสถาบันการเงินได้อีกด้วย)

ไม่มีใครไม่เห็นด้วยกับการออก พ.ร.ก. ฉบับนี้เพราะเหตุของการทำเป็นเรื่องของการหารือกันแทบจะทุกขั้นตอน เช่น ทางฟากฝั่งคนขอกู้ก็ออกมายอมรับว่าดอกเบี้ยที่คิด 2% นั้นคนให้กู้คงได้ไม่คุ้มค่าความเสี่ยงในเวลานั้น จะคิดเพิ่มก็ได้ถ้ากู้ผ่าน แต่มันก็ทำไม่ได้เพราะกฎหมายมันล็อคไว้แล้ว สิ่งที่เป็นผลลัพธ์ออกมาในครั้งนี้มันต่างจากกระบวนการทำแบบแล็บแห้ง ผลัดกันเขียน เวียนกันอ่าน ผ่านกันชมของชมรมคนดื้อ เอะอะอะไรก็ความลับ รู้ก็รู้ไม่จริง ตัวอย่างเช่น สูตรการชดเชยความเสียหาย คนเขาลือให้แซ่ดว่าบอกแล้ว ขอแล้วว่าอย่าไปยุ่งกับหลักประกันเก่า ก็ดันผูกสูตรจนเป็นเรื่อง เข้าใจว่าจนถึงวันนี้ก็คงยังเถียงกับตัวเองหน้ากระจกว่าฉันคิดถูก อันนี้ผู้เขียนรำพึงรำพันกับตัวเองนะครับ ไม่ได้ว่าใคร ต้องออกตัวไว้ก่อน เรามันชนชั้นผู้ปฏิบัติงานได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำงานเลี้ยงลูกเมีย..

จุดที่ผู้เขียนได้รับข้อมูลมาจากฟากฝั่งผู้ประกอบการในฐานะไปทำงานเป็นกรรมการในคณะกรรมการของสำนักงานภาครัฐที่ทำหน้าที่ส่งเสริม สนับสนุน ช่วยเหลือ และแก้ไขปัญหาของ SMEs ก็พบว่าในการดำเนินตามกระบวนการ พักทรัพย์ พักหนี้นั้น เมื่อดำเนินการไปแล้ว อาจต้องรบกวนเงินกู้เพิ่มเพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในการ Jump Start ธุรกิจให้กลับมาให้บริการได้อีกครั้ง เพราะสภาพคล่องของผู้ประกอบการในช่วงตั้งแต่เมษายน 2563 จนถึงเวลานี้เมษายน 2564 อาจจะเหือดแห้ง หรือหมดไป หรือมีไม่พอ การเพิ่มการจ้างงาน การปรับปรุงบางสิ่งอย่างอาจจำเป็น

ดังนั้นถ้าได้ Soft Loan มาอุดหนุนอีกสักส่วนหนึ่งก็น่าจะช่วยทำให้การลุกขึ้นมาขยับเนื้อขยับตัว มันคล่องมากขึ้น เครื่องยนต์ดับๆ ติดๆ ไปหนึ่งปี จะทำให้มันเดินก็ต้องใส่ไฟกระตุ้น อะไรประมาณนั้น ขออย่าได้ติดขัดเรื่องหลักประกันเพิ่ม เพราะผู้เขียนเชื่อว่าอัตราส่วนสินเชื่อต่อราคาบ้าน (Loan to Value หรือ LTV) ของทรัพย์สินที่ตีเข้าโกดังพักทรัพย์ พักหนี้ น่าจะยังพอมีส่วนที่จะจัดสรรให้ได้บ้าง (มี room) ตามควรแก่กรณีก็ถือโอกาสนี้ขอความเมตตาจากสถาบันการเงินให้การช่วยเหลือ สนับสนุนธุรกิจ ที่กำลังเผชิญคลื่นลมทางเศรษฐกิจอย่างหนักหน่วงให้อยู่รอดปลอดภัย สามารถตั้งลำได้ เพื่อจะได้กลับมาจ่ายดอกเบี้ยจ่ายเงินต้นให้กับท่านได้ในอนาคตนะครับ

ขอบคุณที่ติดตามครับ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ไทย ปี 2564 หากล่วงเกินหรือผิดพลาดประการใดขอได้ให้อภัยด้วยนะครับ