posttoday

"หุ้นสหรัฐฯ-จีน" ทางเลือกการลงทุนที่เติบโตดีและมีอนาคต

09 ธันวาคม 2563

คอลัมน์ เข็มทิศนักลงทุน โดย...กิตติคุณ ธนรัตนพัฒนกิจ บลจ.กสิกรไทย

และแล้วเราก็เดินทางมาถึงเดือนสุดท้ายของปีแล้วนะครับ ปีนี้ถึงแม้หนทางจะค่อนข้างขรุขระ มีหลุมให้เราเดินสะดุดกันอย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าเราลงทุนอย่างสม่ำเสมอและกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์หรือหลายภูมิภาคก็จะเจ็บตัวกันน้อยหน่อย ในปีนี้เราลองย้อนมาดูกันดีกว่าครับว่าตั้งแต่พบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19รายแรกในเดือนธันวาคม 2562 จนถึงปัจจุบัน ตลาดหุ้นของแต่ละที่ทำผลงานเป็นอย่างไรกันบ้าง

"หุ้นสหรัฐฯ-จีน" ทางเลือกการลงทุนที่เติบโตดีและมีอนาคต

ในช่วงที่การแพร่ระบาดเริ่มรุนแรงจนทำให้เกิดการล๊อกดาวน์ขึ้นทั่วโลกช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมานั้น สินทรัพย์ต่างๆ ไม่ว่าจะเสี่ยงมากหรือเสี่ยงน้อย หรือแม้กระทั่งสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ ก็โดนเทขายกันหมดจากการที่นักลงทุนทั่วโลกต้องการจะเก็บเงินสดไว้ให้มากที่สุดเพื่อต่อสู้กับไวรัสโควิด-19 ช่วงนั้นโลกแห่งการลงทุนค่อนข้างดูน่ากลัวพอสมควรเลย แต่ถ้าหากเรามองอีกมุมช่วงเวลานั้นก็ถือเป็นช่วงนาทีทองของใครหลายคน เพราะเหมือนการลดกระหน่ำ Summer Sale ครั้งใหญ่ทั่วโลก ซึ่งเหมาะแก่การเข้าซื้อเป็นอย่างมาก ผมขอยกตัวอย่างดัชนี S&P500 จากสหรัฐฯและ MSCI China จากฝั่งจีน โดยจากกราฟ จะเห็นว่าหลังจากโดนเทขายในช่วงมีนาคม ต่างทยอยปรับตัวดีขึ้นเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน ซึ่งการปรับตัวดีขึ้นจากจุดต่ำสุดยังสามารถเห็นได้และมีให้เห็นอยู่เสมอไม่ว่าโลกจะเจอกับวิกฤตการณ์ไหน และหากซื้อ S&P ในช่วงปลายเดือนมีนาคม ปัจจุบันจะได้กำไรโดยประมาณ 62% เลยทีเดียว แต่ไม่เป็นไรครับ ใครที่ไม่ได้ซื้ออะไรในช่วงนั้นก็ยังไม่สาย และหากใครมีการลงทุนในหุ้นไทยเยอะแล้ว การลงทุนในหุ้นต่างประเทศต่อจากนี้ถือว่ายังมีความน่าสนใจอยู่มาก โดยเฉพาะหุ้นในสหรัฐฯและจีน เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศนี้จะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในอนาคต โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯยังสามารถทำนิวไฮได้ตลอดท่ามกลางวิกฤตโควิด ซึ่งปัจจัยบวกมาจากการเป็นประเทศใหญ่ที่มีการบริโภคภายในประเทศสูงและมีนวัตกรรมใหม่ๆเกิดขึ้นเสมอ ทำให้เกิดการเจริญเติบโตตลอดเวลา ซึ่งหุ้นสหรัฐฯมีความหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นหุ้นพื้นฐานอย่างธุรกิจแบงก์ พลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน หรืออีกส่วนที่สหรัฐฯเป็นผู้นำ เช่น เทคโนโลยีนวัตกรรมต่างๆ ที่สหรัฐฯลงทุนเพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนากับธุรกิจข้างต้นเป็นจำนวนมหาศาล นักลงทุนทั่วโลกจึงไหลเข้าไปลงทุนในตลาดสหรัฐฯกันค่อนข้างเยอะ

ส่วนจีน เริ่มต้นจากความต้องการเป็นประเทศมหาอำนาจของโลก จีนจึงพยายามมีอะไรที่สหรัฐฯมีและจะทำให้ดีกว่าด้วยกำลังคนที่มีและการสนับสนุนของภาครัฐ โดยจีนเน้นหนัก 3 เรื่องในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและเพื่อสร้างการเติบโตในอนาคตคือ 1.เทคโนโลยี 2.เฮลท์แคร์ และ 3.การบริโภค ซึ่งในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ยังไม่มีสัญญาณใดที่บอกว่าเศรษฐกิจจีนจะชะลอตัว เนื่องจากกลุ่มคนชั้นกลางที่เป็นกำลังซื้อในประเทศยังมีอยู่อีกเป็นจำนวนมาก รวมถึงการที่ตลาดหุ้นจีนเปิดเกือบจะเสรีให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนได้ ทำให้การระดมทุนอาจเกิดขึ้นในตลาดหุ้นจีนมากขึ้น นอกจากนี้ จีนยังมีความกล้าในเรื่องนวัตกรรมและการเป็นตลาดเกิดใหม่อยู่ จึงเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ตลาดหุ้นจีนยังจะสามารถเติบโตได้มากขึ้นอีกในอนาคต

หากพิจารณาปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศ จีนมีการฟื้นตัวดีต่อเนื่องนำประเทศอื่นๆ โดยการบริโภคภายในที่แข็งแกร่งทำให้เศรษฐกิจยังสามารถดำเนินต่อไปได้แม้ว่าสถานการณ์โควิดจากประเทศอื่นยังรุนแรงอยู่ รวมทั้ง จีนมีแผนเศรษฐกิจ 5 ปี (2564–2568) ที่เน้นพึ่งพาตัวเองในด้านเทคโนโลยีและการเติบโตอย่างมีคุณภาพ อย่างไรก็ตาม ยังต้องจับตานโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯที่มีต่อจีนในระยะถัดไป รวมถึงการออกมาตรการต่างๆจากภาครัฐที่อาจเข้มงวดขึ้นหากเศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติแล้ว ด้านสหรัฐฯฟื้นตัวได้กว่า 80% นับจากช่วงก่อนเกิดโควิด แต่สถานการณ์ระบาดยังรุนแรง ทำสถิติมีผู้ติดเชื้อรายวันมากกว่า 2 แสนคน จนทำให้บางรัฐต้องกลับมาคุมเข้มมาตรการล็อกดาวน์ เป็นปัจจัยหลักที่กดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้ ซึ่งต้องติดตามว่าจะสามารถจัดการกับสถานการณ์ได้ช้าเร็วเพียงใด รวมถึงความคืบหน้าในการผลิตวัคซีน และแผนกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ของสหรัฐฯ

ปีใหม่นี้ขอให้ทุกท่านให้มีสุขภาพกาย สุขภาพใจ และสุขภาพพอร์ตการลงทุนที่แข็งแรงกันถ้วนหน้านะครับ