posttoday

ทางตันที่สี่แยก

26 ตุลาคม 2563

คอลัมน์ เศรษฐกิจคิดง่ายๆ ตอนที่ 43/2563 โดย...สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ เครดิตบูโร

ใครก็ตามที่เติบโตขึ้นมาภายใต้แรงผลักดันความโลภ โกรธ หลง อันเป็นพื้นฐานของมนุษย์ที่อุดมไปด้วยกิเลส ยึดถือเอาเป้าหมายเป็นคำพูดสวยๆ ว่ามันคือการสร้างงาน สร้างอาชีพ ได้สร้างและสะสมความมั่งคั่งให้กับตนเอง ครอบครัว กิจการ สร้างความมั่นคงในทางทรัพย์สินเพื่อเป็นหลักประกันว่า "จะเสียหาย ทุกข์ยากเป็นคนสุดท้าย" แล้วแปลงสิ่งเหล่านี้มาเป็นความชอบธรรมผ่านกฎกติกาของสังคมที่ตนเองและกลุ่มของตนเองคิด พัฒนาขึ้นมาเพื่อการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ เข้าถึงระบบการศึกษา เข้าถึงระบบการกำกับดูแล ระบบการตัดสินว่าใครผิดใครถูก ถูกเรื่องไหน ผิดเรื่องอะไร ความแตกต่างในจุดนี้ได้สร้างช่องว่างที่เรียกว่าความเหลื่อมล้ำระหว่างคนกับคน กลุ่มคนกับกลุ่มคน ขยายตัวขึ้นมาทุกวันทุกปี ไม่ว่าจะวัดด้วยสิ่งใด จนวันหนึ่งเราก็ตื่นขึ้นมาจากที่นอนอันสุขสบายแล้วพบว่า สี่แยกแห่งความเป็นอยู่ได้เกิดเหตุอุดตันจนปริวิตกไปว่า ฉันยังจะรักษาสิ่งนี้ได้ต่อไปอีกหรือไม่ เพราะสิ่งที่มาตามทางแยกมันเจรจาได้ยาก รับมือได้ยากมากๆ สิ่งที่มาในแต่ละแยกคือ

1. แยกที่หนึ่งคือการแพร่ระบาดของไวรัส ที่มีความเป็นตายเป็นเดิมพัน

2. วิกฤติทางเศรษฐกิจ หนักเบาก็ตามแต่โครงสร้างว่าออกแบบกันแบบไหน ไปขึ้นกับปัจจัยทางสาธารณสุขกันขนาดไหน

3. วิกฤติทางการเมือง มีความคิดเห็นในทางการเมืองที่แตกต่างหลากหลาย ซ้ายสุดขั้ว ขวาตกขอบ แรงงานเป็นใหญ่ ทุนต้องมาก่อน คนที่อยู่ตัวอยากอยู่แบบเดิม คนที่เห็นความลำบากในอนาคตอยากเปลี่ยนแปลง มันก็มาปะทะกันในทุกมิติในเวลาปัจจุบัน ยิ่งเป็นยามโพล้เพล้เวลานี้ที่เมืองกรุง ยิ่งให้ประหวั่นพรั่นพรึง ยกเว้นพี่ๆ รถขายของกิน CIA ที่มองเป็นโอกาสถ้าไม่โดนแกงไปเสียก่อน ที่สำคัญคือผู้คนในระบบการเมืองของกรอบปัจจุบันจะ (1) เข้าอกเข้าใจหรือไม่ว่าเรากำลังเจออะไรกันอยู่ (2) พี่ๆ เหล่านั้นในระบบจะหาทางออกจากปัญหาที่แท้จริงได้หรือไม่หรือจะยิ่งทำให้ปัญหามันไปไกลจนยากแก้ไขและ (3) กลไกหรือระบบที่พี่ๆ เขาอยู่กันนั้นเป็นกลไกที่เรียกว่าอำนาจในการกำหนดชะตาชีวิตเป็นของผู้คนจริงหรือระบบตัวแทนยังมีประสิทธิภาพหรือไม่หรือเป็นเพียงรูปแบบเท่านั้น

4. ความเจริญงอกงามทางเทคโนโลยีและความเร็วของข่าวสารทั้งจริงและเท็จมันวิ่งเข้ามาปะทะผู้คนทุกเพศทุกวัย จนเปรียบเทียบได้ว่ามันแทบจะกลืนกินชีวิตจิตใจแถมครอบงำวิญญาณเลยทีเดียว ระบบความคิดแบบ 1,2,3..เป็นขั้นตอนไม่สามารถประมวลผลที่ดีที่สุดออกมาได้ มันมาพร้อมกัน ความยืดหยุ่นในการตั้งรับ ซึมซับในความเห็นต่างแทบไม่เกิด อะไรที่แตกต่างหลากหลาย คนรับข้อมูลเลือกที่จะไม่รับด้วยการใช้นิ้วมือไถทิ้งออกไป ตัวอย่างการเห็นข้อมูล live สดของคนจังหวัดหนึ่ง แล้วโทรเข้ารายการที่กรุงเทพฯ แล้วเล่าเหตุการณ์ที่สี่แยก จากนั้นก็วิจารณ์ ต่อด้วยสรุปความเห็น สุดท้ายคือเสนอทางเลือกจากชุดความคิดตนเองตั้งแต่จุดเริ่มต้นก่อนดู live สดเสียอีกเราเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า Jump to conclusion at the starting point

คำถามที่สำคัญคือ เราจะออกจากสี่แยกที่ตันนี้ไปได้อย่างไร มีผู้เสนอเป็นแนวทางในการเดินออกจากทางตันดังนี้

1. คนที่คิดแบบติดในอดีตต้องทำตัวเป็นเด็กลง คิดว่าถ้าตนเองเป็นเด็กแล้วเขาคิดอะไรกัน ไม่โกรธกับสิ่งที่เขาตั้งคำถาม

2. คนที่ต้องการอนาคตในมุมแบบตนและต้องการเปลี่ยนแปลงเริ่มจากปัจจุบันต้องใช้จุดแข็งความสุภาพ ไม่ก้าวร้าว ด่าทอ เก่งจริงต้องอ่อนนอกแข็งใน (ความคิด) ไม่ใช่หักเอา หักเอา คือต้องมีอายุในทางความคิดมากขึ้นแม้ตัวตนจะเป็นเด็ก

3. ใช้สิ่งที่เรียกว่า ความยืดหยุ่น ไม่มีกรอบ ไม่มีการตั้งธงไว้ก่อน แต่เริ่มจากเป้าหมายสุดท้ายที่ตรงกันมากที่สุด แล้วเริ่มคุยจากจุดสุดท้ายที่คล้ายกัน (ไม่ต้องตรงกันเป๊ะ) มาหาจุดเริ่มต้นที่จะร่วมด้วยช่วยกันแก้ไข มันจะไม่มีวันสำเร็จถ้าใคนหนึ่งเห็นปัญหาในทุกทางออก กับอีกคนเห็นทางออกในทุกปัญหา แล้วทั้งสองมาคุยกันแบบถ้าเอาอย่างเธอ ฉันไม่ทำ หรือต้องเอาอย่างฉัน โดยเธอเริ่มก่อน น่าเสียดายที่วันนี้เรามีแต่นักรบปัญญาชน แต่เราอาจจะมีปัญญาชนคนเสนอทางออกน้อยไป ดังข้อความของพี่ที่เคารพท่านหนึ่งของผู้เขียนได้กล่าวไว้ในข้อความที่เผยแพร่ต่อสาธารณะความว่า

... สำหรับขบวนการปัญญาชนที่ก้าวหน้าในเวลานี้ก็กระโดดเข้าสนามต่อสู้ประยุทธ์กับรัฐ และต่อสู้กับ "ฝ่ายตรงข้าม" แม้จะเห็นอนาคตวิบัติอยู่รำไร แต่ในยามนี้ยากที่จะมีใครถอนตัวจากสนามรบได้แล้วจึงเหลือแต่สถาบัน องค์กรสาธารณะทั้งที่เป็นรัฐ (กสม. สสส. สช. สกสว. พอช....) สถาบันวิชาการ สื่อมวลชนหรือองค์กรประชาสังคมที่ไม่ว่าจะทำงานสาธารณะในแง่มุมไหน แม้จะขีดวงว่าตัวเองไม่เกี่ยวกับการเมืองใดๆ แต่เราไม่สามารถนั่งพิงเก้าอี้หรือเกาะขอบสนามอยู่ได้อีกต่อไป ควรจะต้องลุกขึ้นผลักดันให้เกิดข้อตกลง กระบวนการจัดการความขัดแย้งอย่างสันติให้ได้เดี๋ยวนี้ ก่อนความรุนแรงที่เริ่มก่อตัวยกระดับจนกลายเป็นความวิบัติ...

ขอขอบคุณข้อมูลจาก FB: Kritsada Boonchai

มีแต่นักสันติวิธีแล้วโพล้เพล้นี้ที่น่าจะพอเป็นแกนนอนพาแกนนำออกจากสี่แยกที่ติดขัดจนเศรษฐกิจ สังคม การเมือง กลับก็ไม่ได้ ไปก็ไม่ถึง... เป็นที่ทุกขเวทนานัก