posttoday

Cloud Computing หุ้นเติบโตแห่งยุค Digital Transformation

02 กรกฎาคม 2563

คอลัมน์ I wish you wealth โดย...ภาคภูมิ พีรยวัฒนา AFPT? Wealth Manager ธนาคารทิสโก้

ในโลกยุค Digital Transformation เราได้เห็นเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการปฏิวัติวงการธุรกิจมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ Big Data ในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภค และนำผลลัพธ์ที่ได้ไปต่อยอดในการวางแผนทำธุรกิจ หรือแม้กระทั่ง Work from Home ที่เกิดขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งทำให้เกิดการประชุมทางไกลผ่าน Video Conference และการทำงานผ่านระบบอินเทอร์เน็ตที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไร้รอยต่อ

ในอนาคตอันใกล้นี้ การเข้ามาของเทคโนโลยี 5G และ Internet of Things จะทำให้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเข้ากับเครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ เครื่องใช้ไฟฟ้า รวมถึงรถยนต์ไร้คนขับ ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไปและอาจทำให้เทคโนโลยีที่เราใช้งานกันอยู่ทุกวันนี้กลายเป็นเรื่องที่ล้าสมัยภายในชั่วข้ามคืน

แต่ภาพเหล่านี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย หากปราศจากธุรกิจที่เป็นรากฐานสำคัญที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวเหล่านี้อย่างธุรกิจ Cloud Computing ที่ทำหน้าที่เสมือนระบบประมวลผลและพื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูลบนก้อนเมฆ จึงอาจกล่าวได้ว่า นับจากนี้เป็นต้นไปความต้องการใช้ระบบ Cloud Computing มีแนวโน้มที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและอยู่ใน Megatrends ของโลกในอนาคตอย่างชัดเจน

ปัจจุบัน ทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนหลายองค์กรทั่วโลก ต่างมุ่งหน้าเข้ามาใช้งานระบบ Cloud เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้กับองค์กร เนื่องจากระบบ Cloud มีประโยชน์ในแง่ของการประหยัดต้นทุนในการลงทุนด้าน IT ด้วยพื้นที่การจัดเก็บข้อมูลที่มีขนาดมหาศาลบน Cloud การประมวลผลข้อมูลที่มีความรวดเร็ว สะดวกต่อการเรียกใช้งานจากทั่วทุกมุมโลกและความเป็นมาตรฐานของระบบรักษาความปลอดภัยที่สูง ทำให้องค์กรต่างๆ เลือกที่จะใช้งานระบบ Cloud ในการทำหน้าที่เก็บข้อมูลที่มีความสำคัญ เช่น ฐานข้อมูลลูกค้า ระบบบัญชี เอกสารสำรอง แทนที่จะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางด้านไอทีเองและหันมาโฟกัสในภารกิจหลักขององค์กรได้อย่างเต็มที่

จากข้อมูลล่าสุดในปี 2020 อุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการนำเทคโนโลยี Cloud เข้ามาใช้งานมากที่สุด ได้แก่ ธุรกิจผู้ให้บริการทางด้านการเงิน 40%, ธุรกิจสื่อและผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคม 18%, หน่วยงานภาครัฐ 16% ในขณะที่ธุรกิจอื่นๆอย่างเช่น กลุ่มการแพทย์ กลุ่มค้าปลีก กลุ่มพลังงาน และ กลุ่มการศึกษา ยังมีสัดส่วนดังกล่าวต่ำกว่า 5% ในแต่ละอุตสาหกรรม ทำให้ความต้องการใช้ระบบ Cloud ยังมีช่องว่างในการเติบโตได้อีกมากธุรกิจ Cloud Computing สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรก คือ

ธุรกิจต้นน้ำหรือบริษัทกลุ่ม Infrastructure as a Service (IaaS) เป็นรูปแบบของการให้บริการเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานทางด้านไอทีในการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลผ่าน Cloud ไม่ว่าจะเป็น Network, Database, CPU และ Servers รวมไปถึง OS หรือระบบปฏิบัติการ ปัจจุบันธุรกิจ IaaS ส่วนใหญ่จะดำเนินการโดยบริษัท Tech ยักษ์ใหญ่ เช่น Amazon Web Services (AWS), Microsoft Azure, Google Cloud และ IBM Cloud เป็นต้น

กลุ่มต่อมา คือ ธุรกิจกลางน้ำหรือบริษัทกลุ่ม Platform as a Service (PaaS) เป็นผู้ให้บริการ Platform ซึ่งมีลักษณะเป็นตัวกลางและมีการประมวลผลข้อมูลผ่านระบบ Cloud เช่น บริษัท Twilio ผู้ให้บริการ API (Application Programming Interface) บน Cloud ซึ่งทำหน้าที่อำนวยความสะดวกให้กับบริษัทอย่าง Airbnb, Agoda หรือ eBay ในการรับ-ส่งข้อมูลการทำธุรกรรมระหว่างบริษัทเหล่านี้กับลูกค้าในรูปแบบของการส่ง SMS, MMS, วิดีโอ และข้อความเสียงแบบ Real-time

กลุ่มที่สาม คือ ธุรกิจปลายน้ำ หรือ บริษัทกลุ่ม Software as a Service (SaaS) ที่ปัจจุบันมีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดในธุรกิจ Cloud Computing โดยกลุ่ม SaaS จะเป็นผู้ให้บริการ Software และ Application ผ่านระบบ Cloud ในรูปแบบของการเช่าใช้และมีการเก็บค่าบริการตามการใช้งานจริง (Pay-as-you-go) อีกทั้งผู้ใช้ยังสามารถเลือก Bandwidth หรือพื้นที่การจัดเก็บข้อมูลได้ตามความต้องการ ยกตัวอย่างเช่น Zoom ผู้ให้บริการ Video Conference และ Online Chat เพื่อประชุมทางไกลทั่วโลกผ่านระบบ Cloud, Workday ผู้ให้บริการ Software วางแผนด้านทรัพยากรบุคคลและการวางแผนทางด้านการเงินให้กับบริษัทระดับโลกอย่าง Netflix, AIA, Chevron, Sanofi และ Citi เป็นต้น

Cloud Computing หุ้นเติบโตแห่งยุค Digital Transformation

จุดเด่นของบริษัทกลุ่ม Cloud Computing นั่นก็คือ รายได้ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วและสม่ำเสมอในทุกๆ กลุ่มธุรกิจ (ตามที่แสดงในแผนภาพที่ 1) ซึ่งมีลักษณะเป็นรายได้ที่เกิดขึ้นเป็นประจำ (Recurring Income) ถือได้ว่าเป็นธุรกิจที่มีกระแสเงินสดสม่ำเสมอ จากการที่ลูกค้าต้องจ่ายค่าบริการรายเดือนหรือรายปี (Subscription Fees) เพื่อเข้าไปใช้งานระบบ Cloud ของบริษัท นอกจากนี้บริษัทกลุ่ม Cloud Computing ยังมีศักยภาพในการเติบโตของรายได้ที่สูง ผ่านยอดการใช้งานของผู้ใช้รายเดิมที่เพิ่มขึ้น การดึงลูกค้ารายใหม่เข้ามาใช้บริการ รวมไปถึงการปรับเพิ่มราคาค่าบริการรายเดือน/รายปี ทำให้มีการคาดการณ์จาก Bloomberg Consensus ว่ารายได้ของหลายบริษัทในกลุ่ม Cloud Computing ในช่วง 3 ปีข้างหน้าจะเติบโตได้โดยเฉลี่ยประมาณ 20-30% ต่อปี

ในแง่ของความสามารถในการทำกำไร บริษัทกลุ่ม Cloud Computing ส่วนใหญ่ถือว่ามีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ที่สูงราว 70-80% เนื่องจากมีการลงทุนในการพัฒนา Software เพียงแค่ในระยะแรกและต้นทุนส่วนใหญ่เป็นต้นทุนคงที่ หากรายได้สามารถเติบโตขึ้นได้อย่างต่อเนื่องจนถึงจุดที่เกิดการประหยัดจากขนาด (Economies of Scale) ก็จะส่งผลให้กำไรของบริษัทเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด

กุญแจสำคัญก็คือ เมื่อใดก็ตามหากบริษัทเหล่านี้ทำให้ลูกค้าเกิดต้นทุนในการเปลี่ยนย้าย (Switching Cost) ได้สำเร็จ เช่น ลูกค้าได้เก็บข้อมูลไว้ใน Cloud เป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดความยากลำบากในการโอนย้ายข้อมูล หรือ ต้องมีการจัดอบรมการใช้งาน Software ตัวใหม่ให้กับพนักงานในองค์กร ก็จะส่งผลให้ลูกค้ามักไม่อยากเปลี่ยนแปลงผู้ให้บริการและเลือกใช้งาน Software ของบริษัทต่อไป ส่งผลให้รายได้ของบริษัทกลุ่มนี้มีความมั่นคงและกิจการเกิดความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนเหนือคู่แข่ง

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงหลักในการลงทุนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ก็คือ ความเป็นพลวัตของธุรกิจประเภทนี้ที่มักเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและไม่หยุดนิ่ง อีกทั้งยังต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจในธุรกิจเชิงลึกเป็นอย่างมากในการวิเคราะห์ ติดตาม คาดการณ์อนาคต และประเมินมูลค่าหุ้น ดังนั้น เรามองว่าการลงทุนผ่านกองทุนรวมที่มีนโยบายมุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจ Cloud Computing ยกตัวอย่างเช่น Global X Cloud Computing ETF (CLOU) เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นในยุค Digital Transformation ที่กำลังจะผ่านเข้ามา