posttoday

ลงทุนในจีน A-Shares มีดีอะไร

26 มิถุนายน 2563

คอลัมน์ Healthy Wealth โดย...ชาญวุฒิ รุ่งแสงมนูญ บลจ.เอ็มเอฟซี

ในภาวะที่สภาพคล่องทางการเงินอยู่ในระดับสูง แต่ยังมีความไม่แน่นอนจากผลกระทบของไวรัสโควิด-19 ต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทต่างๆ รวมถึงโอกาสที่จะเกิดการระบาดรอบ 2 ดังนั้น การเลือกลงทุนในประเทศจีนที่ยังมีศักยภาพเติบโตดีและเป็นการกระจายการลงทุนจากประเทศไทยจะช่วยลดความเสี่ยงของพอร์ทการลงทุนได้ในระดับหนึ่ง จีนเป็นประเทศผู้นำทางเศรษฐกิจที่นักลงทุนให้ความสนใจในระดับต้นๆ จีนเป็นประเทศมหาอำนาจของโลก โดยมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 หรือคิดเป็น 16.2% ของจีดีพีโลก เศรษฐกิจจีนมีศักยภาพและเติบโตในอัตราสูงอย่างต่อเนื่อง จีนกำลังเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่พึ่งพิงการผลิตที่เน้นการใช้แรงงานและเน้นปริมาณ ไปสู่การผลิตที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและเน้นคุณภาพ และคาดว่าจะเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลกในปี 2030 ด้วยประชากร 1.5 พันล้านคน จีนมีจุดเด่นในด้านกำลังการบริโภคขนาดใหญ่ของชนชั้นกลางและมีระดับรายได้สุทธิหลังหักภาษีที่สามารถใช้จ่ายได้จริงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง (เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5.8% ต่อปี) และมีเป้าหมาย China Dream 2049 ที่จะเป็นประเทศทันสมัยและได้พัฒนาแล้วอย่างเต็มรูปแบบ

จีนปฎิรูปโครงสร้างตลาดการเงินและตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง มีการเปิดเสรีทางการเงินและเปิดให้นักลงทุนต่างชาติเข้าลงทุนได้ ทำให้การลงทุนในจีนมีความน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในหุ้นจีนที่มีหลายตลาดให้เลือกลงทุน ได้แก่ ตลาด A-Shares, B-Shares, H-Shares, Red Chips, P Chips และ ADR ในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา หุ้น A-Shares หมายถึงหุ้นบริษัทที่จดทะเบียนในสองตลาดหลัก คือ เซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้นจำนวนกว่า 3,500 บริษัท เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นจีนอื่นๆ ตลาด A-Shares มีความน่าสนใจและมีความหลากหลายครอบคลุมกลุ่มอุตสาหกรรมมากที่สุด โดยเฉพาะ ธุรกิจเกี่ยวข้องการบริโภค กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ กลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่มธุรกิจด้านสุขภาพ กลุ่มวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร นอกจากนี้ บริษัทในตลาดหุ้นจีน A-Shares ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ อย่างจำกัด เนื่องจากรายได้ของบริษัทดังกล่าว กว่าร้อยละ 90 มาจากการบริโภคภายในประเทศจีน หุ้น A-Shares ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศมากขึ้นหลังจากที่ MSCI ซึ่งเป็นบริษัทจัดทำดัชนีระดับโลก ได้ประกาศเพิ่มหุ้น A-shares ของ

จีนเข้าสู่การคำนวณดัชนีหุ้นโลก เช่น ดัชนี MSCI ACWI ดัชนี MSCI Emerging Markets Indexes และสร้างดัชนีหุ้นจีน A-shares เฉพาะที่เรียกว่า MSCI China A Onshore Index จีนได้ผ่านวิกฤตการระบาดของไวรัสโควิด-19 เป็นประเทศแรก ส่งผลให้เศรษฐกิจจีนกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและนโยบายผ่อนคลายการเงิน มีการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น แผน Made in China 2025 เพื่อให้จีนเป็นแหล่งอุตสาหกรรมก้าวหน้าชั้นนำของโลก รวมถึงเป็นผู้นำในด้าน AI ด้วยแผน AI 2030 ส่งผลให้กลุ่มธุรกิจจีนที่เติบโตก้าวกระโดด ได้แก่ธุรกิจคิดค้นนวัตกรรมและมีการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อนำมาใช้ทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีเพื่อระบบโลจิสติกส์และห่วงโซ่อุปทาน, เทคโนโลยีเพื่อ Fin tech มุ่งสู่สังคมไร้เงินสด, เทคโนโลยีเพื่อการแพทย์และการสาธารณสุข, เทคโนโลยีเพื่อมุ่งสู่เศรษฐกิจสีเขียวและพลังงานสะอาด เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า EV เป็นต้น นอกจากนี้ จีนมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยี 5G จนบริษัทเทคโนโลยีของจีนก้าวเข้ามามีบทบาทระดับโลก ซึ่งการระบาดของไวรัสโควิด-19 เป็นตัวเร่งสำคัญทำให้เกิด Digital Economy ในหลายธุรกิจ เช่น การเรียนการสอนออนไลน์ ธุรกิจท่องเที่ยวและอสังหาริมทรัพย์ทำ Virtual Tour ธุรกิจฟิตเนส ให้บริการออนไลน์, บริการสตรีมมิ่งในธุรกิจบันเทิง รวมทั้ง การซื้อขายสินค้าและบริการบนอินเทอร์เน็ตที่เติบโตสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงเป็นโอกาสดีที่จะลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาวของจีนเพื่อสร้างความมั่งคั่งไปพร้อมกับความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของจีน

อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนควรมีความสามารถวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แนวโน้มการลงทุน และบริหารการลงทุนได้อย่างเหมาะสม ตลอดจนมีความยืดหยุ่นและสามารถปรับพอรต์การลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ รวมถึงมีแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน หรืออาจมอบหมายให้มืออาชีพบริหารการลงทุนแทน โดยเลือกลงทุนผ่านกองทุนรวมที่มีประสบการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นจีน มีการบริหารเชิงรุก สามารถคัดเลือกหุ้นที่มีคุณภาพดี มีการเติบโตสูง และพิจารณาจาก ผลการดำเนินงานในอดีต รวมถึงข้อมูลจากสถาบันที่เป็นผู้จัดอันดับกองทุน เช่น Morningstar นอกจากนี้ ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลการลงทุน รวมถึงนโยบาย กระบวนการ แนวทางลงทุน (style) เพื่อให้เข้าใจความเสี่ยง ที่มาของผลตอบแทนที่จะได้รับ และที่สำคัญผู้ลงทุนควรเลือกนโยบายที่ตนเองสามารถรับความเสี่ยงได้