posttoday

วิธีการจัดการเงิน หลังผ่านพ้นช่วงวิกฤติโควิด

17 มิถุนายน 2563

คอลัมน์ตลาดนัดการเงิน โดย...K-Expert อิสราภรณ์ บูรณิกานนท์ ที่ปรึกษาการเงิน ธนาคารกสิกรไทย

เป็นที่ทราบกันดีว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (COVID-19) ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรงและเป็นวงกว้าง ทำให้คาดกันว่าเศรษฐกิจโลก ซึ่งรวมถึงประเทศไทยจะเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างมาก จะเห็นได้ว่าในช่วงที่ผ่านมา มีหลายธุรกิจต้องปิดตัวเองลง หรือต้องพยุงตัวเองให้อยู่รอด ด้วยการปรับลดค่าใช้จ่ายลง โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มขอความร่วมมือ ให้สลับกันลาหยุดแบบไม่รับเงินเดือน ขอปรับลดเงินเดือน หรือบางธุรกิจถึงกับเลิกจ้างพนักงาน สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้เราเริ่มไม่มั่นใจว่า เราจะสามารถดำเนินชีวิตและมีฐานะการเงินเป็นปกติ จนสามารถผ่านพ้นวิกฤติการณ์นี้ได้หรือไม่ และการที่คาดการณ์ว่าภาวะเศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย ย่อมส่งผลให้การลงทุน ทั้งการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์หรือตลาดตราสารหนี้มีการปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว เราจะมีวิธีการจัดการเรื่องการเงินและการลงทุนนี้ไปได้อย่างไร K-Expert มีคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการจัดการเงินและการลงทุน หลังผ่านพ้นวิกฤติโควิด มาฝากกัน

1. หยุดการใช้จ่ายเกินตัว ควรมีการจัดลำดับความสำคัญของค่าใช้จ่าย และตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น ซึ่งเป็นสิ่งที่พึงกระทำในช่วงเศรษฐกิจถดถอยและรายได้หดหายไป วิธีการตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น ให้เริ่มจากการจดบันทึกว่าแต่ละเดือนเรามีรายได้เข้ามาเท่าไร และจดรายการใช้จ่ายแต่ละรายการว่าเราใช้จ่ายออกไปเท่าไร จะทำให้เรารู้สถานะทางการเงินของตัวเอง เพราะความมั่นคงทางการเงินเกิดได้ต่อเมื่อเรามีรายได้มากกว่ารายจ่าย หากรายจ่ายของเราสูง ให้พิจารณาตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออก โดยเราควรจะรู้ว่าในแต่ละเดือน เรามีค่าใช้จ่ายเพื่อใช้ดำรงชีพต่อเดือนประมาณเท่าไหร่ สำหรับการลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น วิธีง่ายที่สุด คือ การจัดกลุ่มและเรียงลำดับค่าใช้จ่ายประเภทต่าง ๆ โดยเริ่มจากการจำแนกรายจ่ายที่เป็นค่าใช้จ่ายประจำและจำเป็น ได้แก่ ค่าเช่าบ้าน ค่าสาธารณูปโภค เงินผ่อนชำระกู้ซื้อบ้าน เงินผ่อนชำระค่ารถ และการจ่ายชำระบัตรเครดิต เป็นต้น ซึ่งรายจ่ายพวกนี้จะถูกจัดไว้ในความสำคัญลำดับต้น กลุ่มที่สอง คือ ค่าใช้จ่ายรายวัน ค่าอาหาร ค่าเดินทาง และกลุ่มสุดท้าย ค่าสินค้าที่ยังไม่มีความจำเป็น (สินค้าฟุ่ยเฟื่อยต่าง ๆ ) ซึ่งค่าใช้จ่ายกลุ่มสุดท้ายนี้ ควรเป็นรายจ่ายแรก ๆ ที่ควรตัดทิ้ง ถัดไปให้ลิสต์รายจ่ายที่สามารถลดหรือประหยัดได้ เช่น ค่าอาหาร ค่าเครื่องดื่ม สามารถลดลงได้อีกไหม ซึ่งหากเราตัดลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นลงได้ ก็เท่ากับเรามีเงินออมที่สามารถมาใช้ในการดำรงชีวิตได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ หากทำการตัดหรือลดรายจ่ายในกลุ่มที่สองและสามแล้ว ยังรู้สึกว่ารายจ่ายยังคงสูงกว่ารายได้ หรือสถานะการเงินยังมีความตึงตัวอยู่ ลองพิจารณาปรับลดค่าใช้จ่ายประจำที่มีความสำคัญในลำดับต้น ๆ เช่น ในเรื่องภาระหนี้สิน ไม่ว่าจะเป็น การชำระค่าผ่อนบ้านหรือรถ การจ่ายชำระบัตรเครดิต เราสามารถมีวิธีการลดภาระหนี้หรือลดภาระการตึงตัวทางการเงินได้ โดยการขอความช่วยเหลือในการพักชำระเงินต้นหรือพักชำระดอกเบี้ยได้ ด้วยการติดตามและขอเข้ามาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของแต่ละสถาบันเพื่อบรรเทาภาระลูกหนี้จากผลกระทบวิกฤติโควิด

2. ต้องระมัดระวังเรื่องการลงทุน การลงทุนในช่วงวิกฤติ หรือหลังจากโควิดผ่านพ้นไป จะมีความผันผวนมากขึ้น มีการคาดการณ์ว่า หลังการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด คาดว่าทุกประเทศทั่วโลกต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ดังนั้น การลงทุนจะมีความผันผวนมากขึ้น กลยุทธ์การลงทุนในยามตลาดผันผวนอย่างนี้ จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ สิ่งสำคัญในการลงทุนยามนี้จึงไม่ใช่การหาผลตอบแทนให้ได้สูงที่สุดเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นการควบคุมหรือกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์หลาย ๆ ประเภทในสัดส่วนที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ซึ่งการกระจายการลงทุน เปรียบเสมือนการแบ่งไข่เก็บในตะกร้าหลาย ๆ ใบ ถ้าตะกร้าใบหนึ่งตก ก็ยังเหลือตะกร้าใบอื่น ๆ อยู่ เช่นเดียวกับการลงทุน หากเราเอาเงินทั้งหมดลงทุนในตลาดหุ้น ในช่วงที่ตลาดหุ้นเจอพิษโควิด ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลงเหลือ 1,024 จุด เมื่อ 23 มี.ค. 63 จากดัชนีฯ เมื่อสิ้นปีที่ 1,579 จุด ซึ่งถือเป็นการปิดต่ำสุดในรอบ 8 ปี นับได้ว่าตลาดหุ้นไทยมีการปรับฐานลงรวมประมาณ 555 จุด หากเรานำเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทยทั้งหมด ก็อาจะจะส่งผลให้การลงทุนของเราติดลบถึงเกือบ 35% ตามสภาวะของตลาดหุ้นไทย ซึ่งหากเรามีการกระจายการลงทุนไปในตลาดหุ้นไทย ตราสารหนี้ และสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ทองคำ เป็นต้น ในช่วงที่หากตลาดหุ้นไทยปรับตัวลง ก็ยังมีผลตอบแทนจากตราสารหนี้และทองคำ มารองรับผลขาดทุนจากตลาดหุ้นไทยได้บ้าง ซึ่งนอกจากการจัดสรรเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์หลาย ๆ ประเภท จะช่วยลดความเสี่ยงแล้ว สินทรัพย์บางประเภทอาจจะสร้างผลตอบแทนได้อย่างสม่ำเสมอ ท่ามกลางความไม่แน่นอนอย่างเช่นปัจจุบันได้

3. วางแผนเก็บเงินในการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้น เพราะหลังจากนี้ไป อาจจะมีโรคระบาดใหม่ ๆ หรือโรคอุบัติใหม่เพิ่มขึ้นมา ทำให้เราต้องหันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพของตัวเองมากขึ้น แม้เราจะมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินหรือมีเงินเก็บออมไว้แล้ว แต่บางทีอาจจะไม่เพียงพอหากเราเกิดเจ็บป่วย ดังนั้น เราควรเตรียมพร้อมด้วยการหาประกันมาเป็นหลักในการดูแลสุขภาพ และเป็นสวัสดิการคุ้มครองตัวเอง เพื่อเตรียมรับมือกับโรคระบาดใหม่ หรือโรคอุบัติใหม่

4. พัฒนาตัวเองและหาช่องทางเพิ่มรายได้ สำหรับผู้ที่มีรายได้ทางเดียว อาจจะพิจารณาหาช่องทางเพิ่มรายได้ หรือให้เงินช่วยทำงานผ่านการลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงจากการขาดรายได้ โดยเฉพาะหลังวิกฤติโควิด มีการคาดการณ์กันว่า การจ้างงาน อาจจะเปลี่ยนจากการจ้างมนุษย์เงินเดือน มาจ่ายเป็นเวลา หรือจ่ายตามผลงาน ซึ่งจะอิงกับทักษะความสามารถแทน ตัวแปรดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบต่อความมั่นคงด้านเงินเดือน หรือสวัสดิการของมนุษย์เงินเดือนในอนาคต แต่ในทางกลับกัน คนเก่งอาจทำงานได้หลายที่ภายใต้การจ่ายเงินตามความสามารถ ดังนั้น สิ่งที่เราพึงระลึกถึงตลอดเวลา คือ เราต้องหมั่นพัฒนาตัวเอง ก้าวทันโลกที่เปลี่ยนไป เพื่อโอกาสและความก้าวหน้าในชีวิตการงาน รวมถึงเพื่อให้มั่นใจได้ว่าความรู้ความสามารถที่เรามีจะยังใช้ได้อยู่ในอนาคต

5. ควรออมเงินไว้เพื่อใช้ในยามฉุกเฉิน อย่ารอให้ฉุกเฉินก่อนค่อยออม เงินออมเผื่อฉุกเฉิน คือ เงินออมที่ทุกคนควรต้องเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน และควรเก็บไว้ในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง ซึ่งขอแนะนำให้มีเงินสำรองสภาพคล่องเผื่อฉุกเฉินไว้ให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 6 เดือน โดยคุณอาจจะทยอยออม โดยการเบ่งเงินประมาณ 10%-20% ของรายได้มาสะสม จนได้เงินสำรองสภาพคล่องเผื่อฉุกเฉินครบตามจำนวนที่ต้องการ เงินสำรองเผื่อฉุกเฉินนี้ควรเก็บไว้ในบัญชีเงินฝากหรือกองทุนที่ถอนออกมาใช้ได้สะดวก เน้นรักษาเงินต้นมากกว่าทำผลตอบแทนที่สูง หรือหากอยู่ในช่วงที่ขาดรายได้ ยังไม่สามารถออมเพื่อสภาพคล่องฉุกเฉิน แนะนำให้สมัครบัตรเงินด่วนเตรียมไว้ เอาไว้สำรองหากต้องใช้เงินในการสำรองจ่ายค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในยามจำเป็น ซึ่งบัตรเงินด่วนนี้ เมื่อมีการกดเงินสดมาใช้จะมีการคิดดอกเบี้ย ถ้าไม่ใช้ก็ไม่ต้องเสียดอกเบี้ย และควรเอาไว้ใช้ยามจำเป็นจริง ถ้าหากใครยังไม่มีการสำรองสภาพคล่องเผื่อฉุกเฉินส่วนนี้ บอกได้เลยว่าชีวิตของคุณอยู่ในความเสี่ยง เนื่องจากในช่วงหลังโควิด ภาวะเศรษฐกิจกิจอาจยังชะลอตัว หรืออยู่ในภาวะถดถอยไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลงหรืออยู่ในภาวะถดถอย ความไม่มั่นคงในหน้าที่การงานจะมีมากขึ้น เราอาจจะถูกเลิกจ้าง ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เงินออมเผื่อฉุกเฉินหรือบัตรเงินด่วนดังกล่าวก็สามารถนำมาใช้ในการดำรงชีวิตในช่วงที่ขาดรายได้ และมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายสำหรับเหตุการณ์ที่มีความจำเป็นต้องใช้เงินขึ้นมา

ทั้งนี้ นอกจากเราจะต้องมีการปรับตัวในการจัดการเรื่องการเงินและการลงทุนแล้ว หลังผ่านพ้นวิกฤติโควิด เรายังต้องมีการปรับตัวให้คุ้นชินกับการใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ เทคโนโลยีจะเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะเข้ามามีบทบาทต่อการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวัน ด้วยสถานการณ์วิกฤติโควิด ส่งผลให้คนเริ่มคุ้นชินกับการใช้ดิจิทัล ส่งผลให้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เกิดขึ้นเร็วมาก มีการใช้เทคโนโลยีกับการทำงานที่บ้าน การซื้อสินค้า ตลอดจนการทำธุรกรรมทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการโอนเงิน การชำระบิล การเปิดบัญชีเงินฝาก การซื้อขายสับเปลี่ยนกองทุนหรือหุ้นกู้ผ่านทางแอปพลิเคชันของธนาคารต่าง ๆ ในสมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้น ซึ่งเมื่อคนเริ่มคุ้นชินกับเทคโนโลยี และเริ่มวางใจในความปลอดภัยมากขึ้น เราน่าจะได้เห็นหลายบริษัทมีนโยบายให้พนักงานสามารถทำงานที่บ้านมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการที่มีเทคโนโลยีมากมายที่ช่วยให้การทำงานที่บ้านเป็นเรื่องง่าย จนในที่สุด การทำงานที่บ้านจะกลายเป็นมิติใหม่และเป็นเรื่องปกติของคนทำงานในยุคนี้ ซึ่งทำให้สามารถประหยัดเวลาในการเดินทาง ด้านการซื้อสินค้า ลูกค้าไม่ต้องเดินทางมาซื้อหรือทดลองสินค้า แต่ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์ หรือสามารถทดลองสินค้าโดยไม่ต้องใช้พนักงาน (personal touch) ส่วนการทำธุรกรรมทางการเงินผู้บริโภคเองก็น่าจะนิยมทำธุรกรรมทางการเงินผ่านทางแอปพลิเคชันมากขึ้น เช่น การขอสินเชื่อ การทำบัตรเครดิต การจ่ายชำระค่างวดสินเชื่อ อีกทั้งสถาบันการเงินเองก็มีการพัฒนาเพิ่มบริการธุรกรรมทางการเงินอื่น ๆ ผ่านทางออนไลน์มากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปสาขา พร้อมทั้งเพิ่มความสะดวกในการทำธุรกรรมทางการเงินให้แก่ผู้บริโภค