ติดตามสถานการณ์ Covid-19 และแนวโน้มการกลับมาพูดคุยทางการค้าของสหรัฐฯ และจีน
คอลัมน์ มันนี่วีก (Money week) โดย...พีรพรรณ สุวรรณรัตน์, มนัสวิน ฐิติสมบูรณ์ สายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย
สายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทยประเมินว่าเงินบาทผันผวนสูงต่อเนื่อง โดยอยู่ในกรอบ 32.00-32.40 แนวโน้มจำนวนผู้ติดเชื้อ Covid-19 รายใหม่ทั่วโลกชะลอลง และหลายๆ ประเทศเริ่มผ่อนปรนมาตรการปิดเมืองเป็นปัจจัยบวกของนักลงทุนเกี่ยวกับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ อีกทั้งแนวโน้มที่สหรัฐฯ และจีนจะกลับมาเปิดการเจรจาอีกครั้ง หลังจากที่สหรัฐฯ ขู่จะเริ่มสงครามการค้ารอบใหม่ในเบื้องต้นเป็นผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลกเช่นกัน อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องติดตามท่าทีของผู้นำทั้งสองฝ่าย ขณะที่รายงานเครื่องชี้เศรษฐกิจที่สำคัญส่วนใหญ่ในช่วงสัปดาห์นี้อยู่ในฝั่งของยุโรป อาทิ จีดีพีไตรมาสที่ 1 ของยูโรโซนและสหราชอาณาจักร ซึ่งคาดว่าจะออกมาหดตัวสูง เนื่องจากเป็นช่วงที่การระบาดของ Covid-19 รุนแรงอย่างมากในภูมิภาค
ภาพรวมตลาดอัตราแลกเปลี่ยนในสัปดาห์ที่ผ่านมา ค่าเงินบาทค่อนข้างทรงตัว ก่อนจะปรับแข็งค่าขึ้นมากในวันศุกร์จะความเชื่อมั่นต่อเงินดอลลาร์ที่ลดลงมาก โดยในช่วงกลางสัปดาห์ ดัชนีเงินดอลลาร์สูงขึ้นจากการอ่อนค่าของเงินยูโร จากการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญเยอรมนีว่ามาตรการซื้อสินทรัพย์ของอีซีบีละเมิดสนธิสัญญาสหภาพยุโรป โดยศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 7 ต่อ 1 เห็นว่ามาตรการซื้อพันธบัตรรัฐบาลของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ละเมิดกฎหมายในประเด็นความสมเหตุสมผล (proportionality) และผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยมีมติให้เวลาอีซีบีสามเดือนในการรวบรวมข้อมูลถึงเหตุผลและความจำเป็นของมาตรการดังกล่าว มิฉะนั้น ธนาคารกลางของเยอรมนีจะถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้าร่วมโครงการดังกล่าว นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการยุโรปประเมินว่าเศรษฐกิจของยูโรโซนอาจหดตัวถึง 7.7% ในปีนี้ และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อโดยรวมในเดือนเมษายนที่สะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจของยุโรปอ่อนแอที่สุดเป็นประวัติการณ์ทำให้เงินยูโรอ่อนค่าลง
ทั้งนี้ ดัชนีค่าเงินดอลลาร์กลับมาปรับลดลงเนื่องจากนักลงทุนคาดหวังว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับติดลบ สะท้อนจาก ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 2 ปีลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์และมุมมองต่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ในตลาดล่วงน่าที่ติดลบสำหรับสัญญาหมดอายุปลายปี 2020 หรือต้นปี 2021 ประกอบกับ การจะกลับมาเจรจาด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนนั้นสะท้อนสัญญาณบวกต่อตลาด ทำให้ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยลดลง ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น โดยเงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 32.245 (เวลา 17.00 น.)
ภาพรวมตลาดตราสารหนี้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ภาพรวมตลาดตราสารหนี้ในสัปดาห์ที่ผ่านมีประเด็นที่เริ่มมีการพูดถึงในตลาดอีกครั้งคือเรื่องของสงครามการค้ารอบใหม่ ภายหลังจากที่สหรัฐฯกล่าวโทษจีนกรณีการระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมไปถึงเน้นย้ำว่าจีนต้องปฏิบัติตามข้อตกลงการค้าเฟสหนึ่งที่ทำร่วมกัน ถือเป็นปัจจัยใหม่ที่ต้องรอติดตามหลังจากนี้ ขณะที่ปัจจัยที่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เกิดขึ้นภายหลังจากที่กระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ประกาศจะออกพันธบัตรในวงเงินสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 3 ล้านล้านดอลลาร์ในไตรมาสนี้ โดยวงเงินที่จะประมูลในเดือนนี้สูงกว่าที่ตลาดได้คาดการณ์เอาไว้ ซึ่งจะเป็นการการประมูลพันธบัตรอายุ 3 ปี วงเงิน 42,000 ล้านดอลลาร์ในเดือนนี้ และพันธบัตรอายุ 10 ปี วงเงิน 32,000 ล้านดอลลาร์ รวมทั้งพันธบัตรอายุ 30 ปี วงเงิน 22,000 ล้านดอลลาร์ เป็นเหตุให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้นในช่วงกลางสัปดาห์ ก่อนที่จะปรับตัวลดลงมาอยู่ในกรอบเคลื่อนไหวเดิมเมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า
สำหรับตัวเลขในประเทศที่สำคัญได้แก่การประกาศอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนเมษายนออกมาติดลบเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกันอยู่ที่ -2.99% YoY มากกว่าเดือนก่อนที่ -0.54% ซึ่งสาเหตุหลักมาจากราคาพลังงานที่ลดลงเป็นสำคัญ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.41% ซึ่งใกล้เคียงกับที่ตลาดคาดที่ 0.45% ทั้งนี้เราคาดการณ์ว่าแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของไทยจะยังคงอยู่ในระดับต่ำไปสักระยะหนึ่ง เนื่องจากแนวโน้มการหดตัวของเศรษฐกิจไทย จะส่งผลต่อกำลังซื้อและการจ้างงานที่ลดลง รวมไปถึงปัจจัยด้านพลังงานที่จะยังคงอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่องจากปัญหาที่อุปสงค์น้อยกว่าอุปทานจากมาตรการปิดเมืองในหลายประเทศทั่วโลก ด้วยเหตุนี้ตลาดจึงคาดการณ์ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยอาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกในการประชุมวันที่ 20 พฤษภาคมนี้ ขณะที่การเคลื่อนไหวของอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับตัวลดลงสอดคล้องกับปัจจัยข้างต้น ทำให้ ณ วันที่ 8 พฤษภาคม 2563 อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยรุ่นอายุ 1, 2, 3, 5, 7 และ 10ปี อยู่ที่ 0.59% 0.63% 0.69% 0.85% 1.03% และ 1.13% ตามลำดับ
กระแสเงินทุนต่างชาติในสัปดาห์ที่ผ่านมาไหลเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้ไทยรวมสุทธิประมาณ 1,184 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น 162 ล้านบาท ซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว 1,346 ล้านบาท และไม่มีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ


