posttoday

โอกาสมหาศาลในตลาดต่างประเทศ

21 มกราคม 2563

คอลัมน์ คู่คิดนักลงทุน

คอลัมน์ คู่คิดนักลงทุน

เรื่อง โอกาสมหาศาลในตลาดต่างประเทศ

โดย บรรณรงค์ พิชญากร

กรรมการผู้จัดการ กิจการค้าหลักทรัพย์ บล. บัวหลวง

..................................................................................

สวัสดีครับคุณผู้อ่านทุกท่าน เปิดศักราชใหม่ปี 2563 มาเราก็มีข่าวน่าตื่นเต้นกันตั้งแต่ต้นปี เมื่อสหรัฐฯ สั่งยิงนายทหารระดับสูงของอิหร่านเสียชีวิต ทำให้ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์สูงขึ้น สร้างความผันผวนต่อตลาดหุ้นโลก เคราะห์ซ้ำกรรมซัด เมื่ออิหร่านต้องการจะตอบโต้สหรัฐฯ แต่เกิดข้อพลาดยิงขีปนาวุธไปโดนเครื่องบินโดยสารส่งผลให้ผู้เสียชีวิตกว่าร้อยคนซึ่งรวมถึงชาวอิหร่านเอง จนเกิดการประท้วงภายในประเทศขึ้น

อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงระหว่างวันที่ 6-10 ม.ค. 63 กลับไม่สะทกสะท้าน แถมปรับตัวขึ้นเกือบ 1% ขณะที่ตลาดหุ้นไทยที่ดูเหมือนว่าจะไกลแสนไกลเกินกว่าจะได้รับผลกระทบ กลับติดลบไป 1% ในช่วงเวลาเดียวกัน สร้างความฉงนงงงวยให้กับผมยิ่งนัก แต่ในขณะเดียวกันก็ยิ่งตอกย้ำถึงความสำคัญของการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ

บล.บัวหลวง ได้เปิดบริการลงทุนต่างประเทศ BLS Global Investing มาระยะหนึ่ง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนให้สามารถกระจายการลงทุนไปต่างประเทศได้ง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัสมือถือ ทั้งในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฮ่องกง และเวียดนาม ครอบคลุมหลักทรัพย์กว่าหมื่นตัว พร้อมด้วยข้อมูลและทีมงานที่มีประสบการณ์ รวมถึงรายงานประกอบการพิจารณาภาษี ที่เปลี่ยนการยื่นภาษีเงินได้จากการลงทุนต่างประเทศที่ดูยาก ให้เป็นเรื่องง่าย... มาเริ่มกันดีกว่าครับว่าแต่ละตลาดนั้นน่าสนใจอย่างไร

เริ่มด้วยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่จัดเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีมูลค่าตลาดคิดเป็น 41% ของตลาดหุ้นทั่วโลก มีหลักทรัพย์ที่น่าสนใจให้เลือกลงทุนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นหุ้นที่ทุกคนรู้จักดี อย่าง Microsoft, Apple, Facebook, Starbucks หรือกองทุน ETF ที่อิงสินทรัพย์ทั่วโลก

กล่าวคือ นักลงทุนสามารถลงทุนได้ทั่วโลก ไม่ว่าจะในยุโรป จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ผ่าน ETF ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ด้านเศรษฐกิจสหรัฐฯ เองก็อยู่ในช่วงฟื้นตัว โดยเฉพาะตัวเลขการจ้างงานล่าสุดที่ 3.5% ซึ่งต่ำสุดในรอบ 50 ปี อีกทั้งนโยบายการเงินก็อยู่ในทิศทางผ่อนคลาย หลังธนาคารกลางลดดอกเบี้ยไปถึง 3 ครั้งเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งโดยปกติจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือนในการส่งผ่านเข้าไปสู่ภาคเศรษฐกิจจริง แต่ก็ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นถึง 30% ในปีที่ผ่านมา เช่นนี้แล้วจะไม่ให้สนใจได้อย่างไร

ถัดมาที่ตลาดหุ้นฮ่องกง นักลงทุนหลายท่านมักถามว่า “ฮ่องกง ทรงยังดี อยู่หรือไม่” บังเอิญว่าชื่อนี้ตรงกับชื่อรายงานพิเศษของทีม BLS Global Investing พอดี ซึ่งเรายืนยันลูกค้าเสมอมาว่า ทรงยังดีครับ สังเกตได้จากการที่จีนยังเชื่อมั่น โดยนำบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Alibaba เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง แทนที่จะจดในตลาดหุ้นจีน แถมยังเตรียมจะนำบริษัท Baidu ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยียักษ์อีกแห่งของจีน (คล้าย Google) เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงอีก ตอกย้ำความสำคัญของฮ่องกงที่มีต่อจีน ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทจัดอันดับเครดิต S&P ก็คงอันดับเครดิตฮ่องกงแข็งแกร่งที่ AA+ เมื่อปลายเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี อาจมีข้อคำถามว่าเชินเจิ้นอาจมาแทนที่ฮ่องกงในการเป็นศูนย์กลางทางการเงินรึเปล่า ผมกลับมองว่ามีโอกาสน้อยมากครับ เชินเจิ้นนั้นจีนมั่นหมายที่จะให้เป็นศูนย์กลางทางเทคโนโลยีมากกว่า เพื่อแข่งกับ Silicon Valley ของสหรัฐฯ ด้วยเหตุนี้ ผมจึงเห็นว่าตลาดหุ้นฮ่องกงมีความน่าสนใจ มีบริษัทหลากหลายที่คนไทยรู้จักดี เช่น AIA, Alibaba, Tencent หรือ Ping An ซึ่งเป็นทั้งบริษัทฮ่องกงเองและบริษัทจีนจดทะเบียนอยู่ให้เราเลือกลงทุน

สุดท้าย คือ ตลาดหุ้นเวียดนาม อีกไกลแค่ไหนคือใกล้ เอ๊ะ จริงๆ ไม่เกี่ยวกับเพลงนี้ เพราะเวียดนามนั้นอยู่ใกล้เราแค่เอื้อม แต่เศรษฐกิจกำลังจะแซงไทยไปไกลแสนไกล ด้วยอัตราการเติบโตถึง 7% ต่อปี ในขณะที่ไทยยังโต 2-3% ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ ต่อไปเรื่อยๆ เค้าคงแซงเราไปได้จริงๆ ด้านตลาดหุ้นเวียดนาม หลายคนอาจบอกว่า ปีที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นแค่ 7-8% ไม่ได้หวือหวานัก แต่หากเทียบกับไทยที่ปรับขึ้นเพียง 1% ก็นับว่าเวียดนามยังมีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย

ประเด็นสำคัญก็คือ เราเริ่มเห็นทางการเวียดนามปรับปรุงกฎเกณฑ์ต่างๆ อาทิ การเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นต่างชาติ การเพิ่มหลักทรัพย์ประเภท NVDR เพื่อให้ต่างชาติเข้าไปลงทุนได้สะดวก การเพิ่มฐานนักลงทุนสถาบัน หรือการเพิ่มความโปร่งใสของการเปิดเผยข้อมูล สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องติดตามว่าเวียดนามจะทำได้สำเร็จกี่มากน้อย เพราะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เค้าได้รับการจัดอันดับจากสถาบันต่างๆ เช่น MSCI หรือ FTSE ให้ขึ้นไปอยู่ในสถานะตลาดเกิดใหม่ได้ ซึ่งจะทำให้มีเงินทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นอีกมากมายมหาศาล และเมื่อวันนั้นมาถึง อาจจะอีก 2-3 ปีข้างหน้า หุ้นเวียดนามมีโอกาสที่จะทะยานได้ เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจ และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนนั้นเติบโตได้ดีต่อเนื่อง

สุดท้ายนี้ ไม่กล่าวถึงเรื่องนี้ไม่ได้ครับ นั่นคือ ความเสี่ยงจากค่าเงิน ค่าเงินบาทในช่วงที่ผ่านมาแข็งค่าเสียเหลือเกิน ซึ่งหากมีทิศทางแข็งต่อ ก็อาจทำให้นักลงทุนที่ไปลงทุนต่างประเทศขาดทุนจากค่าเงินได้ อย่างไรก็ดี หากมองเป็นโอกาสว่า ช่วงที่บาทแข็งหนักแบบนี้ เป็นจังหวะในการแลกเงินเพื่อลงทุนต่างประเทศ เพราะทำให้เราซื้อของต่างประเทศได้ถูก ซึ่งหากในอนาคตบาทพลิกกลับมาอ่อน แม้เพียงเล็กน้อย เราก็อาจมีกำไรจากค่าเงินได้ครับ