posttoday

เมื่อทางการหันหน้ามามองแต่คนจ่ายขั้นต่ำและกำลังจะหมดแรง... มาตรการจะมาทันไหม

09 ธันวาคม 2562

คอลัมน์ เศรษฐกิจคิดง่ายๆ ตอนที่ 34/2562 โดย...สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ เครดิตบูโร

คอลัมน์ เศรษฐกิจคิดง่ายๆ ตอนที่ 34/2562 โดย...สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ เครดิตบูโร

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมานอกจากกรุงเทพมหานครจะเจอกับลมหนาวแบบอุณหภูมิตอนกลางคืนต่ำกว่า 20 องศา นอนหลับแบบไม่ต้องเปิดแอร์ และเมื่อเห็นข่าวออนไลน์ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ยามกำลังดื่มกาแฟดำ ก็เป็นต้องประหลาดใจกับหัวข่าวเศรษฐกิจการเงินการธนาคารว่า ทางการของเรากำลังปั้น โครงการ “รีไฟแนนซ์” หนี้บัตรเครดิต-บัตรกดเงินสด ลูกหนี้ที่มีการชำระดี ไม่มีประวัติผิดนัดชำระ แต่มีอาการจ่ายได้แต่ขั้นต่ำ เลี้ยงงวดกันไปเดือนต่อเดือน ไม่สามารถชำระยอดเต็มได้ โดยการย้ายเจ้าหนี้บัตรทั้งสองประเภทดังกล่าวมาเป็นเงินกู้แบบมีระยะเวลาแน่นอน มีการผ่อนชำระรายเดือนเป็นงวดๆแน่นอนและไม่มีการคิดดอกเบี้ยทบต้นกับเจ้าหนี้รายใหม่

ที่สำคัญมากคืออัตราดอกเบี้ยที่ลูกค้าต้องจ่ายนั้นมันจะลดลงจาก 18% ในกรณีบัตรเครดิต และ 28% ในกรณีของบัตรกดเงินสด คิดดอกเบี้ยต่ำ 7-12% ช่วยลดภาระการเงินที่ต้องชำระรายเดือน ในช่วงเศรษฐกิจมีการชะลอตัว เป็นมาตรการเชิงรุกในการป้องปัญหาเสียแต่ต้นมือ แบบจับควันให้ไว ดับไฟอย่าให้ลาม เพราะอาการน่าจะบอกได้ว่าอีกอึดใจเดียวก็จะกลายเป็นหนี้ค้างชำระ และเป็นหนี้เสียต่อไป ตามข่าวระบุว่ามีลูกหนี้ที่เข้าข่ายกว่า 4.7 ล้านบัญชีซึ่งไม่น้อยนะครับ

ในวันเสาร์อีกเช่นกันผมได้พูดคุยกับน้องคนหนึ่งซึ่งมีหน้าที่การงานดี มีรายได้เดือนละเกือบหกหมื่นบาทแต่ที่ผมงงมากตอนคุยกันคือน้องเขาบอกผมว่า เขาจะผ่อนชำระหนี้ไม่ไหวแล้ว พอสืบสาวราวเรื่องเลยแจกแจงออกมาได้ดังนี้

1. มีหนี้บัตรเครดิต 5 ใบเต็มวงเงินจ่ายขั้นต่ำ 10% มาโดยตลอดตั้งแต่ปลายปี 2561

2. มีหนี้เงินผ่อนเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อใส่บ้านใหม่ที่มีอายุไม่ถึงปี

3. มีหนี้บ้านราคา 7 ล้านบาท ยอดผ่อนต่อเดือนสองหมื่นนิดๆ ผ่อนนาน 30 ปี ดอกเบี้ยถูก 4 ปี

4. รวมยอดผ่อนทุกรายการข้างต้นตกประมาณ 55,000 บาทต่อเดือน

5. ตอนนี้ต้องหุงข้าว ทำกับข้าวกินที่บ้านและเอามาที่ทำงานด้วย

6. เครียดเรื่องหนี้ มีเรื่องทะเลาะกับแม่พ่อที่มาอยู่ด้วยตลอด พูดผิดหูไม่ได้เลย เห็นเพื่อนๆ เดินทางไปดูใบไม้เปลี่ยนสีแล้วก็เจ็บใจที่ตัวเองติดกับดักหนี้ ไปไหนไม่ได้

7. ไม่ต้องการเป็นคนมีประวัติค้างชำระ อยากเป็นคนชำระครบชำระตรง เพราะรู้ว่าถ้ามีประวัติค้างชำระแล้วละก็ ต้องทำดีมาชดเชยประวัติที่ค้างแบบว่าเจ้าหนี้เก่าเจ้าหนี้ใหม่ต้องดูใจอย่างน้อยๆก็อีก 24 เดือนข้างหน้าถึงจะคิดกู้ใหม่ได้

8. ไปพบบ้านใหม่ถูกใจในราคา 4 ล้านบาทจึงคิดวางแผนขายบ้านเก่าแล้วมากู้บ้านใหม่ โชคร้ายที่ตอนนี้มาตรการเข้มงวดในการให้สินเชื่อบ้านกำลังเป็นประเด็นพอดี โอกาสจะได้สินเชื่อคือ 50:50 และเงื่อนไขสำคัญคือต้องขายบ้านขายแบบบ้านมือสอง (ไม่ถึงปี) ให้ได้ก่อน

เขาพูดกับผมตอนปรึกษาว่า "... ผมไม่อยากมีประวัติเสียในบูโรครับ เพราะผมวางแผนไว้ว่าถ้าขายบ้านหลังนี้ได้ ก็จะไปซื้อบ้านที่ถูกกว่านี้อยู่ ความรู้สึกผมตอนนี้ที่มีหนี้แบบนี้ ผ่อนได้แค่นี้ ทั้งที่ทำงานเต็มที่แล้ว ตอนใช้บัตร กู้บ้านก็คิดว่าไหว สู้ไหว คิดทุกวัน คิดแล้วมันเหมือนเหล็กที่ทิ่มแทงใจ สาบานกับตัวเองแล้วว่าเข็ดและจะพอแค่นี้ ที่ทำให้ตัวเองและคนอื่นต้องเดือดร้อนจากการไม่ประมาณตัวว่าเราไหวแค่ไหน เกินกำลังไปเยอะ ถลำตัวไปมากจริงๆ..."

ตามข่าวของโครงการช่วยเหลือลูกหนี้ดีที่น่าสนใจคือเงื่อนไข ห้ามก่อหนี้ใหม่เด็ดขาด กล่าวคือโครงการนี้ให้ความสำคัญกับการรักษาวินัยทางการเงินอย่างเคร่งครัด ดังนั้นผู้ที่เข้าโครงการจะต้องยกเลิกวงเงินเดิม เพื่อไม่ทำให้ภาระหนี้โดยรวมสูงขึ้น และลูกหนี้ที่เข้าโครงการจะต้องยินยอมให้ บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) ส่งรายงานตรวจสอบสถานะความเป็นหนี้ในที่ต่างๆ และการชำระหนี้ในทุกบัญชีให้กับเจ้าหนี้ที่รับรีไฟแนนซ์ได้ทุกเดือน เงื่อนไขนี้ออกไปในแนวดัดนิสัยนิดๆ ที่สำคัญมากคือบัตรเครดิต บัตรกดเงินสดทุกใบต้องปิดบัญชี ไม่อย่างนั้นคนที่มี 3 บัตรจะเอามาเข้าโครงการ 2 บัตร เก็บเอาไว้ใช้ต่ออีกใบ และแน่นอนว่าจะหาทางเปิดบัตรใหม่อย่างแน่นอน ถ้าไม่ล็อกไว้ก็จะเป็นประเด็นได้ และในกรณีที่เข้าโครงการแล้วผิดสัญญา อัตราดอกเบี้ยที่คิดก็จะเด้งกลับไปที่อัตราผิดนัด หรืออัตราสูงสุดที่ 18% หรือ 28% แล้วแต่กรณี

เรามาลุ้นกันครับว่ามาตรการนี้จะออกมาได้หรือไม่ เพราะคนที่เจ็บตัว และขาดรายได้ไปมากคือเจ้าหนี้สถาบันการเงิน ไม่แน่ใจว่าราคาหุ้นจะไหลลงมาไหมถ้ามาตรการนี้ออกมาจริงดังข่าว

ขอบคุณครับ