posttoday

ติดตามตัวเลขจีดีพีไตรมาสที่ 3 ของไทย

18 พฤศจิกายน 2562

คอลัมน์ มันนี่วีก ( Money week( โดย...วรันธร ภู่ทอง, มนัสวิน ฐิติสมบูรณ์สายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย

คอลัมน์ มันนี่วีก ( Money week) โดย...วรันธร ภู่ทอง, มนัสวิน ฐิติสมบูรณ์สายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย

สายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทยมองว่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ 32.10-30.40 ในสัปดาห์นี้ คาดว่าเงินบาทยังมีแนวโน้มที่จะได้รับปัจจัยจากการประกาศอัตราการขยายตัวของจีดีพีไทยในไตรมาสที่ 3 โดยเครื่องชี้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาสะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวอ่อนแอลง ส่งผลให้ตัวเลขอ่อนแออาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงบ้าง นอกจากนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะประกาศบันทึกจากการประชุมนโยบายการเงินซึ่งมีแนวโน้มที่จะส่งสัญญาณที่เป็นกังวลต่อการขยายตัวเศรษฐกิจไทย และชี้ถึงความพร้อมที่จะใช้มาตรการเพิ่มเติมเพื่อลดแรงกดดันแข็งค่าของเงินบาท ในด้านต่างประเทศ ธนาคารกลางสหรัฐฯ และธนาคารกลางยุโรปจะประกาศบันทึกจากการประชุมนโยบายการเงินเช่นกัน ซึ่งจะเป็นปัจจัยต่อการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์และยูโรในช่วงสัปดาห์นี้

เงินบาทเคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้นตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเปิดตลาดที่ระดับ 30.36 และเคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์สอดคล้องกับค่าเงินเยนเนื่องจากนักลงทุนเพิ่มสัดส่วนการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยจากสัญญาณความไม่แน่นอนทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ กล่าวว่ายังไม่ตัดสินใจที่จะยกเลิกการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน แม้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ของทั้งสองฝ่ายออกมายืนยันอาจมีการยกเลิกการเก็บภาษีสินค้านำเข้าระหว่างกันบางรายการการหากมีการลงนามในข้อตกลงทางการค้าระยะที่ 1 นอกจากนี้ นักลงทุนยังติดตามคำแถลงของนายเจอโรม โพเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ต่อหน้าคณะกรรมการด้านงบประมาณภาครัฐ (House Budget Committee) เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า โดยนายโพเวลยังกล่าวสนับสนุนการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเนื่องจากประเมินว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และไม่เห็นเหตุผลที่ทาคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะมีความเป็นไปได้ที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยสูงขึ้นได้ ทั้งนี้ เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 30.217 (เวลา 17.20)

ความเคลื่อนไหวในตลาดตราสารหนี้สัปดาห์ที่ผ่านมาถูกขับเคลื่อนจากประเด็นเรื่องการเจรจาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนเป็นหลัก ที่ถึงแม้ว่าเวลาจะล่วงเลยมามากกว่าหนึ่งเดือนแล้ว ภายหลังจากที่มีข่าวว่าสหรัฐฯ และจีนสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าเบื้องต้นได้ แต่ก็ยังไม่มีการลงนามในข้อตกลงการค้าขั้นแรก (Phase 1) หรือมีการยืนยันจากทั้ง 2 ฝ่ายถึงการบรรลุข้อตกลงออกมาอย่างเป็นทางการ ด้วยเหตุนี้ตลาดจึงเกิดความกังวลถึงความไม่แน่นอนที่ท้ายสุดแล้วข้อตกลงการค้าในขั้นแรกจะเกิดขึ้นหรือไม่ และถ้าเกิดขึ้นจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ประกอบกับคำขู่จากประธานาธิบดีทรัมป์ในการปาฐกถาในคลับเศรษฐศาสตร์ของนิวยอร์ก ว่าจะเพิ่มอัตราภาษีนำเข้ากับจีนอย่างรวดเร็ว หากจีนไม่ทำข้อตกลงการค้าระยะที่ 1 กับสหรัฐฯได้สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนไม่น้อยสะท้อนผ่านการเข้าถือสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างพันธบัตรรัฐบาล ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของประเทศเศรษฐกิจหลักปรับตัวลดลง

ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศไม่ได้มีปัจจัยใหม่เข้ามาชี้นำตลาด ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยเคลื่อนไหวทรงตัวเมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า โดย ณ วันที่ 15 พฤศจิกายน 2562 อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยรุ่นอายุ 1, 2, 3, 5, 7 และ 10ปี อยู่ที่ 1.31% 1.32% 1.36% 1.46% 1.59% และ 1.71% ตามลำดับ

 

กระแสเงินทุนต่างชาติในสัปดาห์ที่ผ่านมาไหลออกจากตลาดตราสารหนี้ไทยรวมสุทธิประมาณ 4,342 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น 508 ล้านบาท ขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว 3,819 ล้านบาท และมีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ 15 ล้านบาท