posttoday

ติดตามการประกาศตัวเลขจีดีพีจีนไตรมาสที่ 3

14 ตุลาคม 2562

คอลัมมันนี่วีก (Money week) โดย...สรรค์ อรรถรังสรรค์, มนัสวิน ฐิติสมบูรณ์ สายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย

คอลัมมันนี่วีก (Money week) โดย...สรรค์ อรรถรังสรรค์, มนัสวิน ฐิติสมบูรณ์ สายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย

สายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทยมองว่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ 30.25-30.55 เงินบาทในช่วงเปิดตลาดจะเคลื่อนไหวตามประเด็นการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ – จีน ในสัปดาห์นี้ นักลงทุนรอติดตามพัฒนาการด้าน Brexit โดยนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน มีกำหนดเสนอแผนการออกจากสหภาพยุโรป (อียู) ในการประชุมสุดยอดของอียูระหว่างวันที่ 17-18 ตุลาคมนี้ ทั้งนี้ หากอียูไม่รับรองร่างข้อตกลงดังกล่าว นายกรัฐมนตรีจอห์นสันอาจจำเป็นต้องยื่นเรื่องต่ออียูเพื่อขอขยายเส้นตายเดิมวันที่ 31 ตุลาคม ออกไป

ด้านตัวเลขเศรษฐกิจ นักลงทุนจะรอติดตามการประกาศตัวเลขจีดีพีของจีน โดยตลาดคาดว่าจีดีพีจะขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ 6.1% ในไตรมาสที่ 3 จากที่ขยายตัว 6.2% ในไตรมาสก่อนหน้า ด้านเศรษฐกิจไทย รัฐสภามีกำหนดประชุมเพื่อพิจารณาร่างงบประมาณในสัปดาห์นี้

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทผันผวนสูง โดยในช่วงต้นสัปดาห์ เงินบาทเปิดตลาดที่ระดับ 30.43 ก่อนที่จะแข็งค่าขึ้นสวนทางค่าเงินสกุลอื่นๆ ในเอเชียเนื่องจากนักลงทุนกลับเข้าถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยหลังสหรัฐฯ ประกาศขึ้นบัญชีดำบริษัทเทคโนโลยีของจีน 8 แห่ง เนื่องจากช่วยเหลือรัฐบาลจีนในการละเมิดสิทธิมนุษยชนในการกักบริเวณชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมในเมืองซินเจียง

ช่วงกลางสัปดาห์ เงินบาทยังแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับดอลลาร์ โดยส่วนหนึ่งมาจากการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ในไทย อย่างไรก็ดี เงินบาทกลับมาอ่อนค่าลงรวดเร็วหลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยส่งสัญญาณจะออกมาตรการเพื่อสกัดการเข็งค่าของเงินบาท อาทิ

(1) สนับสนุนให้นักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันลงทุนในต่างประเทศได้อย่างเสรีขึ้น

(2) ดูแลการค้าขายทองคำ เพื่อลดผลกระทบของเงินไหลเข้าไหลออกต่อค่าเงินบาท

(3) ส่งเสริมการนำเข้าสินค้าทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อลดการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด

นอกจากนี้ เงินบาทยังอ่อนค่าลงสวนทางกับค่าเงินเอเชียสกุลอื่นที่แข็งค่าเนื่องจากตลาดได้รับปัจจัยสนับสนุนจากสัญญาณการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ดีขึ้นด้วย โดยประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่าการเจรจากับผู้แทนการค้ากับจีนในวันแรก “เป็นไปด้วยดีมาก” ทำให้เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 30.40 ณ วันที่ 11 ตุลาคม เวลา 17.30 น.

ภาพรวมตลาดตราสารหนี้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ในสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดตราสารหนี้เคลื่อนไหวโดยมีประเด็นเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนเป็นปัจจัยหลัก โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวผันผวนตามกระแสข่าวที่ออกมาตลอดทั้งสัปดาห์ โดยก่อนหน้าการหารือกันในช่วงวันที่ 10-11 ตุลาคม 62 ได้มีกระแสข่าวเชิงบวกว่าจีนอาจพิจารณาข้อตกลงการค้าชั่วคราวหรือบางส่วน ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของประเทศเศรษฐกิจหลักปรับตัวสูงขึ้น

ติดตามการประกาศตัวเลขจีดีพีจีนไตรมาสที่ 3

ขณะเดียวกันในสัปดาห์ที่ผ่านมามีการเปิดเผยรายงานการประชุมนโยบายการเงินของสหรัฐฯ เดือนกันยายน โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังคงเปิดโอกาสที่จะพิจารณาลดดอกเบี้ยนโยบายลงต่อได้อีก อันมีสาเหตุมาจากความเสี่ยงที่สูงขึ้น ทั้งเรื่องของความตึงเครียดทางการค้า เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งนี้ตลาดได้ให้โอกาสที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 25 bps ในการประชุมเดือนตุลาคมอยู่ที่ 78% (ณ วันที่ 11 ตุลาคม 62 เวลา 16.00 น.)

ส่วนความเคลื่อนไหวในประเทศได้มีการเปิดเผยรายงานประชุมนโยบายการเงินของไทยจากวันที่ 25 กันยายน 62 ทั้งนี้ยังไม่มีสัญญาณการลดดอกเบี้ยครั้งถัดไปอย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าภาพรวมของเศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวลงมากกว่าที่ได้ประเมินไว้ แต่คณะกรรมการบางท่านเห็นข้อจำกัดของการส่งผ่านนโยบายการเงิน และความจำเป็นในการรักษาขีดความสามารถของการดำเนินนโยบายการเงิน (Policy space) จึงทำให้ท่าทีของการกำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ยในระยะข้างหน้ายังไม่ชัดเจน

อย่างไรก็ตามเราคาดว่าปัจจัยที่จะกดดันให้คณะกรรมการนโยบายการเงินปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงจะมาจากการที่ประเทศอื่นๆ เดินหน้าดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยนโยบายระหว่างประเทศไทยและประเทศอื่นกว้างมากขึ้น นอกจากนี้ปัจจัยเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งค่าก็เป็นสิ่งที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้แสดงความกังวลตลอดมา โดยล่าสุดผู้ว่า ธปท. ส่งสัญญาณว่าจะประกาศนโยบายเคลื่อนย้ายเงินทุนเพื่อลดการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งท้ายสุดแล้วนักลงทุนคงต้องติดตามปัจจัยข้างต้นอย่างใกล้ชิด ในส่วนของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับตัวขึ้น โดยปิดสัปดาห์ วันที่ 11 ตุลาคม 2562 อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยรุ่นอายุ 1, 2, 3, 5, 7 และ 10ปี อยู่ที่ 1.40% 1.38% 1.38% 1.39% 1.47% และ 1.51% ตามลำดับ

กระแสเงินทุนต่างชาติในสัปดาห์ที่ผ่านมาไหลเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้ไทยรวมสุทธิประมาณ 2,237 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น 259 ล้านบาท ซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว 2,496 ล้านบาท และไม่มีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ