posttoday

ลงทุนอะไรดีเมื่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมาอ่อนค่า

22 สิงหาคม 2562

คอลัมน์ รู้รอบโลก รู้รอบรวย โดย...ดร. ตรีพล ภูมิวสนะ Private Banking Business Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย

คอลัมน์ รู้รอบโลก รู้รอบรวย โดย...ดร. ตรีพล ภูมิวสนะ Private Banking Business Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย

นับตั้งแต่ FED ตัดสินใจยุติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) หลังจากปั๊มเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจผ่านการเข้าซื้อสินทรัพย์ทางการเงินเพื่อกระตุ้นการเติบโตมายาวนานกว่า 6 ปี ในวันที่ 29 ตุลาคม 2014 ประกอบกับการที่ FED เริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนธันวาคม 2015 จากระดับ 0-0.25% ขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาอยู่ที่ระดับ 2.25-2.50% ในปัจจุบัน ก็ได้ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯปรับสูงขึ้นเรื่อยมาเช่นกัน โดยหากนับจากปลายปี 2014 ถึงปัจจุบัน ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับแข็งค่าขึ้นมาแล้วกว่า 22% และผลที่ตามมาคือเงินทุนทั่วโลกได้เคลื่อนย้ายกลับจากที่ลงทุนในกลุ่มประเทศเกิดใหม่และเอเชียกลับมาที่สหรัฐฯ มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการค้าที่ยืดเยื้อระหว่างสหรัฐฯ และจีน จนทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกรวมทั้งสหรัฐฯ ชะลอลง ก็ได้ทำให้ท่าทีของ FED ภายใต้ผู้นำอย่างนายเจอโรม พาวเวลล์ เริ่มเปลี่ยน โดยมีท่าทีที่อ่อนลง และส่งสัญญาณชัดมากขึ้นในการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 18-19 มิถุนายน 2019 ด้วยการตัดคำว่า “อดทน” ออกจากแถลงการณ์ และแทนที่ด้วยข้อความที่ว่า “ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ FED พร้อมผ่อนคลายนโยบายการเงินหากจำเป็น” และ ณ วันนี้ ตลาดก็ได้คาดการณ์แล้วว่า FED จะปรับลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ในปี 2019 นี้ ซึ่งก็น่าจะทำให้ทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่แข็งค่าน่าจะเริ่มชะลอลง
ทั้งนี้ ทางด้าน Lombard Odier ได้ประเมินว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ณ ระดับปัจจุบัน ถือว่าแพงไปแล้ว และคาดว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะปรับอ่อนค่าลงในระยะถัดไป ซึ่งก็น่าจะทำให้ค่าเงินและดัชนีหุ้นกลุ่มประเทศเกิดใหม่รวมทั้งเอเชียกลับมาปรับสูงขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

ดังนั้น การลงทุนในระยะถัดไป อาจต้องหันกลับมาพิจารณาการลงทุนในดัชนีหุ้นกลุ่มประเทศเกิดใหม่และเอเชียอีกครั้ง โดยเฉพาะดัชนีหุ้นจีนในกลุ่ม A-share ซึ่งถือว่ามีความน่าสนใจมากทีเดียวในแง่ของ valuation โดยเปรียบเทียบ ทั้งนี้หากพิจารณาดัชนี CSI 300 ซึ่งเป็นดัชนีที่ประกอบด้วยหุ้น A-Shares 300 หุ้น ซึ่งจดทะเบียนอยู่ที่ตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น และ/หรือ ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ ณ ปัจจุบันซื้อขายอยู่ที่ระดับเพียง 12 เท่า ซึ่งยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลังที่ระดับประมาณ 13 เท่า พร้อมด้วยอัตราคาดการณ์การเติบโตของผลกำไรอยู่ในระดับสูงถึง 12% อย่างไรก็ดี ด้วยความผันผวนในตลาดที่เพิ่มสูงขึ้น การลงทุนในกองทุนหุ้นจีนที่เน้นการลงทุนในหุ้นที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นหลักและมีเครื่องมือที่ช่วยนักลงทุนควบคุมความผันผวนจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจเพื่อรับประโยชน์จากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่คาดการณ์ว่าจะอ่อนค่ามากขึ้นในระยะต่อไป