posttoday

เราควรมีทุนประกันชีวิตเท่าไร ถึงจะเหมาะสม

07 พฤศจิกายน 2561

สำหรับใครที่ศึกษากันมาบ้าง คงพอจะทราบว่า หัวใจหลักของการทำประกันชีวิตนั้น คือ การ “คุ้มครองภาระการเงิน” เพื่อไม่ให้ใครต้องมารับผิดชอบภาระแทน

สำหรับใครที่ศึกษากันมาบ้าง คงพอจะทราบว่า หัวใจหลักของการทำประกันชีวิตนั้น คือ การ “คุ้มครองภาระการเงิน” เพื่อไม่ให้ใครต้องมารับผิดชอบภาระแทน หากเราเกิดเสียชีวิตก่อนวัยอันควร เนื่องจากหากเราทำประกันชีวิตไว้ เมื่อเสียชีวิตคนข้างหลังที่เป็นผู้รับผลประโยชน์ตามที่เราระบุชื่อ ก็จะได้รับเงินทุนประกันตามจำนวนที่เราเลือกทำเพื่อคุ้มครองชีวิตไป เพื่อนำไปจัดการกับภาระการเงินที่มีอยู่ได้

ซึ่งในที่นี้ คำว่า “ภาระการเงิน” อาจจะหมายถึง “ความรับผิดชอบทางการเงิน” ใดๆ ที่เราต้องเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเหล่านั้น และต่อให้เราจากไปแล้ว ความรับผิดชอบนี้ก็ยังไม่หายไปไหน แต่จะต้องมีคนอื่นมารับผิดชอบต่อแทน ซึ่งโดยทั่วไปภาระการเงินเหล่านี้ก็เช่น

- ค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการเลี้ยงดูบุคคลที่อยู่ในอุปการะ เช่น บุตร ภรรยา พ่อแม่ หรือญาติพี่น้อง อาจจะคนเดียว หรือหลายคน ซึ่งหากบุคคลที่อยู่ในอุปการะเป็นบุตร ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ก็ต้องรวมไปถึงค่าเล่าเรียนของบุตรด้วยเช่นกัน

- มูลค่าหนี้สินต่างๆ ที่ค้างอยู่ เช่น หนี้บัตรเครดิต หนี้รถ หรือหนี้บ้าน ของตัวเราเอง (หรืออาจจะรวมไปถึงหนี้ของคนอื่นที่เราช่วยรับผิดชอบอยู่ด้วยก็ได้ หากเราต้องการรับผิดชอบหนี้ก้อนหนี้หลังเราจากไปด้วย)

- ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น หลังจากที่เราจากไปที่เราต้องการเป็นคนรับผิดชอบเอง เช่น ค่าจัดงานศพ เป็นต้น

เราควรมีทุนประกันชีวิตเท่าไร ถึงจะเหมาะสม

ดังนั้น หากใครต้องการทำประกันชีวิต เพื่อคุ้มครองความเสี่ยงเรื่องภาระการเงินดังกล่าว แล้วเกิดความสงสัยว่าควรจะต้องทำที่ทุนประกันชีวิตเท่าไร ถึงจะเหมาะสม คำแนะนำก็คือ ควรทำเท่ากับ “ภาระการเงินส่วนเกิน” ซึ่งก็เท่ากับ “ภาระการเงินทั้งหมดที่มีอยู่ หัก มูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่” นั่นเอง (ที่ต้องหักด้วยมูลค่าทรัพย์สินก่อน เนื่องจากเมื่อเราจากไป ทายาทหรือผู้ที่เราต้องการให้ได้รับผลประโยชน์ของเรา ก็จะได้รับทรัพย์สินของเราไปเป็นมรดก เพื่อนำไปใช้จัดการกับภาระการเงินที่ยังเหลืออยู่ด้วย)

ซึ่งเราสามารถประเมินทุนประกันชีวิตที่เหมาะสมให้ตัวเองได้คร่าวๆ ตามขั้นตอนดังต่อไปนี้

1.ประเมินค่าใช้จ่ายในการอุปการะเลี้ยงดูผู้ที่เรากำลังเลี้ยงดูอยู่ ตั้งแต่ปัจจุบันจนถึงวันที่เราหมดภาระเลี้ยงดูแล้ว ซึ่งคำนวณได้จากค่าเลี้ยงดูปี (หรือค่าเลี้ยงดูต่อเดือนx12) x จำนวนปีที่ต้องเลี้ยงดู โดยที่หากผู้ที่เลี้ยงดูเป็นบุตร จำนวนปีที่ต้องเลี้ยงดูก็อาจจะเป็นจำนวนปีที่ยังต้องเรียนหนังสือต่อจนกว่าจะเรียนจบ (เพราะถือว่า เมื่อเรียนจบบุตรจะสามารถทำงานเลี้ยงดูตัวเองได้ ไม่เป็นภาระเราต่อไป) หรือถ้าผู้ที่เลี้ยงดูเป็นบุคคลอื่น เช่น พ่อแม่ จำนวนปีที่ต้องเลี้ยงดู ก็อาจจะเป็นจำนวนปีจากนี้ต่อไปจนกว่าพวกท่านจะจากไป ซึ่งก็ต้องประมาณการอายุขัยของพวกท่านเอาไว้ด้วย หรืออย่างน้อยที่สุด ก็แล้วแต่เราจะกำหนดจำนวนปีเอาเอง ตามแต่ที่เราคิดว่าเหมาะสมว่าจะเผื่อค่าใช้จ่ายเหล่านี้ให้คนที่เราอุปการะอยู่ได้ใช้ต่อไปอีกกี่ปีด้วยก็ได้เช่นกัน

ตัวอย่าง : ต้องเลี้ยงดูบุตรเดือนละ 5,000 บาท หรือปีละ 60,000 บาท ปัจจุบันบุตรอายุ 5 ขวบ จะเรียนจบตอนอายุ 22 ปี ดังนั้น ต้องคุ้มครองต่อไปอีก 21-5 = 16 ปี ดังนั้น ค่าใช้จ่ายในการอุปการะทั้งหมดจะเท่ากับ 60,000x16 = 960,000 บาท

2.หากผู้ที่เราอุปการะเป็นบุตร ให้ประเมินทุนการศึกษาจนกว่าบุตรจะเรียนจบ โดยรวมค่าเล่าเรียนบุตรในแต่ละปีตั้งแต่ปัจจุบันจนกว่าจะเรียนจบการศึกษาเข้าไปด้วย (ดังนั้น เราอาจจะต้องวางแผนคร่าวๆ ว่า ในอนาคต เราจะส่งบุตรไปเรียนที่ไหน ค่าเทอมประมาณเท่าไร)

ตัวอย่าง : ค่าเล่าเรียนตั้งแต่ชั้นประถมจนจบปริญญาตรีประมาณเทอมละ 30,000 บาท หรือปีละ 60,000 บาท รวม 16 ปี ดังนั้น ทุนการศึกษาทั้งหมดจะเท่ากับ 60,000x16 = 960,000 บาท

3.ประเมินภาระหนี้สินทั้งหมด โดยรวมมูลค่าหนี้สินทั้งหมดที่ยังเหลือค้างอยู่ในปัจจุบัน ทั้งหนี้บัตร หนี้ส่วนบุคคล หนี้บ้าน และหนี้รถ เข้าด้วยกัน

ตัวอย่าง : ปัจจุบันมีหนี้บัตรเครดิต 10,000 บาท หนี้บ้าน 3,000,000 บาท หนี้รถ 200,000 บาท รวมภาระหนี้สินทั้งหมด 10,000+3,000,000+200,000 = 3,210,000 บาท

4.ประเมินค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เราต้องการเตรียมไว้ หลังจากไป เช่น ค่าจัดงานศพ

ตัวอย่าง : คาดว่าค่าจัดงานศพจะประมาณ 100,000 บาท

5.ประเมินภาระการเงินทั้งหมดที่มีอยู่ โดยรวมค่าใช้จ่ายและหนี้สินทั้งหมดในข้อ 1-4 เข้าด้วยกัน

เราควรมีทุนประกันชีวิตเท่าไร ถึงจะเหมาะสม

ตัวอย่าง : ภาระการเงินทั้งหมดที่มีอยู่ = 960,000+960,000+3,210,000+100,000 = 5,230,000 บาท

6.ประเมินมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมด โดยรวมมูลค่าทรัพย์สินที่เรามีอยู่ทั้งหมดในปัจจุบัน ทั้งเงินฝากธนาคาร เงินออม และเงินลงทุนต่างๆ

ตัวอย่าง : ปัจจุบันมีเงินฝากออมทรัพย์ 300,000 บาท เงินลงทุนในหุ้น 200,000 บาท และเงินลงทุนในกองทุนรวม 500,000 บาท รวม 300,000+200,000+500,000 = 1,000,000 บาท

7.นำมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดที่ประเมินได้ในข้อที่ 6 ไปหักออกจากภาระการเงินทั้งหมดในข้อที่ 5 ก็จะได้ทุนประกันชีวิตที่เหมาะสม

ตัวอย่าง : ทุนประกันชีวิตที่เหมาะสม = 5,230,000-1,000,000 = 4,230,000 บาท

อย่างไรก็ตาม หากเรามีการทำประกันชีวิตบ้างอยู่แล้ว ก็ให้เรารวมทุนประกันชีวิตของทุกกรมธรรม์ที่มีอยู่ แล้วนำมาหักออกจากทุนประกันชีวิตที่เหมาะสม เพื่อดูว่าทุนประกันชีวิตที่เราอยู่ มีเพียงพอทุนประกันชีวิตที่เราควรทำหรือไม่ ถ้าหากไม่เพียงพอ แล้วเรายังมีงบประมาณเหลือที่ยังสามารถทำประกันชีวิตเพิ่มได้ ก็ควรทำประกันชีวิตเพิ่ม โดยเลือกทำที่ทุนประกันส่วนที่ยังขาดอยู่นั่นเองครับ

สุดท้าย หลังจากที่เราทราบทุนประกันที่เหมาะสมแล้ว เราก็ควรต้องเลือกประเภทประกันชีวิตที่เหมาะสมกับทำเพื่อจุดประสงค์คุ้มครองภาระการเงินด้วย ได้แก่ แบบตลอดชีพ หรือแบบชั่วระยะเวลา โดยที่ถ้าเป็นแบบชั่วระยะเวลา ค่าเบี้ยประกันก็มักจะถูกกว่าแบบตลอดชีพ แต่จะคุ้มครองเพียงแต่ช่วงเวลาที่กำหนดเท่านั้น ซึ่งเราก็ควรเลือกแบบที่มีระยะเวลาคุ้มครอง ไม่ต่ำไปกว่าระยะเวลาที่เราจำเป็นต้องได้รับการคุ้มครอง ซึ่งก็คือระยะเวลาที่เรายังต้องผ่อนชำระหนี้อยู่ หรือระยะเวลาที่เรายังต้องเลี้ยงดูผู้ที่อยู่ในอุปการะ ซึ่งเราต้องเลือกอย่างที่ยาวนานกว่า เพื่อครอบคลุมภาระทั้งหมดที่มีอยู่ได้ครับ