posttoday

จับจังหวะลงทุนหุ้นผันผวน

04 กรกฎาคม 2561

หุ้นไทยปรับฐานลงมากกว่า 200 จุดจากที่เคยแตะจุดสูงสุดที่ 1,852 จุด เมื่อต้นปีที่ผ่านมา

โดย...บงกชรัตน์ สร้อยทอง 

หุ้นไทยปรับฐานลงมากกว่า 200 จุดจากที่เคยแตะจุดสูงสุดที่ 1,852 จุด เมื่อต้นปีที่ผ่านมา และมีแรงขายนักลงทุนต่างชาติออกมาถึง 1.8 แสนล้านบาทแล้ว ซึ่งผู้เชี่ยวชาญและนักวิเคราะห์มองว่าโอกาสที่ต่างชาติจะขายหุ้นไทยอีกมีความเป็นไปได้ เพราะมีปัจจัยสงครามการค้าสหรัฐกับจีนเป็นตัวเร่งนอกเหนือจากปัจจัยที่ธนาคารกลางสหรัฐขึ้นอัตราดอกเบี้ย

ท่ามกลางที่ดัชนีหุ้นมีความผันผวนย่อมมีโอกาสในการลงทุนเช่นกัน เพียงแต่ผู้ลงทุนจะกล้าหรือตัดเรื่องอารมณ์ในการลงทุนได้หรือไม่ ซึ่ง “นฤมล บุญสนอง” กรรมการ สมาคมนักวางแผนการเงินไทย และ “นิพจน์ ไกรลาศโอฬาร” ผู้จัดการกองทุนอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ มีคำแนะนำการลงทุนในช่วงที่ภาวะหุ้นผันผวน

แบ่งประเภทของเงิน ทุกสภาวะการลงทุน ผู้ลงทุนควรกำหนดชัดเจนว่าเงินที่เอามาใช้ในการลงทุนเป็นเงินประเภทไหน หรือลงทุนเพื่ออะไรให้ชัดเจน ที่สำคัญต้องไม่ได้เป็นการกู้เงินมาเพื่อลงทุน ยิ่งเห็นหุ้นอยู่ในช่วงขาลงเช่นนี้ด้วย หรือกำหนดให้ชัดเจนว่านี่ลงทุนเพื่อการเกษียณ เพื่อการศึกษา ฯลฯ เพราะจะทำให้เราออกแบบและปรับพอร์ตรูปแบบการลงทุนได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ เนื่องจากแต่ละคนจะมีขอบเขตการลงทุนในแต่ละประเภทสินทรัพย์ที่ต่างกัน

จับจังหวะลงทุนหุ้นผันผวน

ผู้ลงทุนเข้าใจภาพที่ดีและไม่ดีในอดีต ตลอด 42 ปีที่มีตลาดหุ้นไทยถือว่ามีความเหวี่ยงสูงมากโดย 1 ปีหุ้นเคยบวกมากสุดคือ 129% และติดลบหนักสุดคือ 49% แต่ถ้าลงทุนในกรอบระยะยาว ยาวมากกว่า 5 ปีขึ้นไป ความเหวี่ยงของการปรับขึ้นของหุ้นจะลดลง ประกอบกับจาก 42 ปีที่ผ่านมานี้ มีทั้งหมด 27 ปีที่ตลาดหุ้นเป็นบวกและให้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 40% และอีก 15 ปีที่หุ้นปรับลงและให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 19% ซึ่งจากสถิติทั้งสองอย่างสะท้อนให้เห็นว่า การลงทุนระยะยาวมีโอกาสการขาดทุนที่น้อยกว่าระยะสั้น

อารมณ์การลงทุน “นฤมล” แนะนำว่า ความผันผวนของดัชนีมีอยู่ในเห็นตลอดทั้งวงจรเศรษฐกิจขาขึ้นและขาลง ทั้งจากปัจจัยต่างประเทศหรือในประเทศ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องแยกอารมณ์การลงทุนให้ออกกับปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริง เพราะความจริงอารมณ์จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับทุกช่วงของการลงทุนเสมอ แม้ตลาดหุ้นไม่สามารถหลีกหนีผลกระทบจากจิตวิทยาการลงทุนที่เข้ามาได้ก็จริง แต่สิ่งที่ผู้ลงทุนควรทำคือ ตั้งสติ ดูและเตรียมสตางค์ให้พร้อม และต้องมีจิตใจที่สตรองหรือเข้มแข็งต่อการลงทุน

ดีสุดคือขาย แย่สุดคือซื้อ นักวางแผนทางการเงินย้ำว่า ปกติจะมีมุมมองที่ดูสิ่งที่เกิดขึ้นจากผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้นในอดีต ซึ่งสวนทางกับนักวิเคราะห์ที่มักจะเลือกดูกำไรที่จะเกิดขึ้นในอนาคตมากกว่า ดังนั้น ส่วนใหญ่เมื่อภาวะตลาดหุ้นอยู่ในช่วงที่มีความผันผวน สิ่งที่แนะนำคือ “ต้องซื้อหุ้นดีในชั่วโมงที่เลวร้าย” โดยให้เพิ่มพอร์ตการลงทุนมากกว่าช่วงที่ภาวะปกติ ซึ่งแนะนำลงทุนหุ้นอยู่ที่ 20% โดยอาจเพิ่มสัดส่วนลงทุนในหุ้นเป็น 50% ของพอร์ตได้ แต่ควรเป็นการทยอยเข้าซื้อทีละเป้าหมายในใจ เช่น ทยอยเข้าซื้อที่ราคาหุ้นเพิ่มครั้งละ 5% หรือเพิ่มขึ้นจากจำนวนเงินที่เรามีก่อนใหญ่แล้วแบ่งทยอยเข้า เช่นเดียวกันหากภาวะตลาดที่ทุกคนมองว่าดีไปหมด ดัชนีขึ้นแล้วขึ้นอีก ถือเป็นจังหวะที่ผู้ลงทุนควรขายทำกำไรเพื่อลดพอร์ตการลงทุน

จับจังหวะลงทุนหุ้นผันผวน

กลยุทธ์ขาลง เมื่อรู้แน่ชัดว่าหุ้นขาลงการจะหาอัตราผลตอบแทนที่ 3-5% เป็นเรื่องที่ยากอยู่แล้ว และปัจจุบันที่หุ้นอยู่ในภาวะที่กลัว อีกทั้งอนาคตต้องเข้าสู่ภาวะตื่นตระหนก (แพนิก) ให้สังเกตจากไม่ค่อยมีใครกล้าลงทุนหุ้น หรือเริ่มมีแรงการบังคับให้ขายหุ้นออกมา (ฟอร์ซเซล) ดังนั้น ควรมีต้นทุนการซื้อหุ้นที่ถูกกว่า คำนึงโอกาสขาดทุนต้องน้อยที่สุด และเงินต้นควรต้องอยู่ครบ แนะนำว่าผู้ลงทุนควรขายทำกำไรหุ้นออกไปก่อนแล้วค่อยเข้าไปทยอยเก็บหุ้นในราคาที่ถูกกว่า

แก้ไขความผันผวนออกแบบพอร์ตที่มั่นคง ภาวะผันผวนเช่นนี้หากไม่ได้ออกแบพอร์ตการลงทุนไว้ แนะนำลงทุนแบบถั่วเฉลี่ย (DCA) คือคำตอบที่ดีที่สุด ซึ่งใช้ได้กับหุ้นหรือกองทุน โดยเน้นการสร้างวินัยในการเลือกใส่เงินเพิ่มหรือซื้อน้ำหนักการลงทุนเข้าไปเรื่อย แต่นั่นหมายความว่าต้องเลือกหุ้นที่คู่กับชาติต่อไปได้ คือให้นึกถึงว่าผู้บริหารหรือแม้ตัวเองไม่อยู่หุ้นตัวนี้ก็สามารถอยู่ได้หรือมีการทำธุรกิจต่อไปได้ จากนั้นให้เลือกเป็นจัดพอร์ตความมั่นคงแบบ (Asset Allocation) ที่ควรมีส่วนผสมของผลิตภัณฑ์การลงทุนไว้ในพอร์ต แล้วเป็นการทยอยเข้ามากกว่าที่จะเข้าไปซื้อครั้งเดียวเพื่อหวังส่วนต่างกำไรที่มากเลย ซึ่งมีน้อยที่จะประสบความสำเร็จ

ซื้อหุ้นอะไรหนึ่ง ดูจากอัตราราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (พี/อี) ที่ต่ำกว่า 15 เท่า ปกติหุ้นไทยจะเฉลี่ยอยู่ที่ 15 เท่า และสูงสุดที่ 18 เท่า สอง เป็นหุ้นกลุ่มขนาดใหญ่ SET50 ดูปัจจัยพื้นฐานแล้วไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ราคาหุ้นมีการปรับลงมามากกว่าดัชนีหุ้นไทย (SET) สาม มีอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ดีและต่อเนื่อง อาจดูได้จาก SET HD (SET High Dividend 30 Index) เป็นหุ้นที่มีมูลค่าตามราคาตลาดและสภาพคล่องสูง อีกทั้งให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงอย่างต่อเนื่อง มีทั้งหมด 30 หลักทรัพย์ มีข้อแนะนำและให้คำนึงว่า “ทุกครั้้งที่ SET ลง ราคาหุ้นลง ผลตอบแทนจากเงินปันผลจะสูงขึ้น”

จับจังหวะลงทุนหุ้นผันผวน

นักลงทุนมือใหม่ ควรแบ่งพอร์ตการลงทุนให้ชัดว่าระยะสั้นหรือระยะยาว ถ้ายาวควรมากกว่า 5 ปี แล้วค่อย ทยอยเข้าไปเรื่อยๆ ส่วนระยะสั้น อาจทดลองตลาดด้วยเงินจำนวนที่น้อยก่อน สิ่งที่ต้องดูคือ จุดขายกำไรอยู่ตรงไหน และต้องขายเพื่อตัดจุดขาดทุน (สต็อปลอส) ให้เป็น อาจใช้ระยะเวลาเป็นรายสัปดาห์หรือรายเดือนดู เช่น หากราคาหุ้นปัจจุบันราคาลงต่ำมากกว่าราคาที่เข้าไปซื้อเมื่อสัปดาห์ก่อนหรือเดือนก่อนก็ควรสต็อปลอส โดยมือใหม่ไม่แนะนำใช้กลยุทธ์ขึ้นขายลงซื้อ เพราะอาจจะทำให้เข้าผิดรอบแล้วติดหุ้นได้

หุ้นปันผลสร้างเกราะป้องกัน “นิพจน์” แนะนำการเลือกหุ้น (กราฟฟิกประกอบ) แต่มองว่าหุ้นปันผลมักจะมีการเคลื่อนไหวหรือสร้างผลตอบแทนที่ดียามที่หุ้นผันผวนเสมอ เพราะนอกจากเงินปันผลที่จะได้แล้ว ผู้ลงทุนสามารถได้รับส่วนต่างกำไรที่เพิ่มขึ้นในอนาคตได้ ถ้าหุ้นดีดกลับหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีและปันผลดีอยู่แล้ว ราคาหุ้นก็มีโอกาสปรับตัวขึ้นสะท้อนปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริง เช่นกันถ้าหุ้นฟื้นตัว หุ้นปันผลอาจปรับตัวขึ้นน้อยกว่า SET หรือหุ้นกลุ่มที่มีการเติบโตสูง ถึงตอนนั้นผู้ลงทุนควรปรับพอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์และกระแสเงินสดที่มีในมือด้วย

ทั้งหมดนี้ สิ่งสำคัญมากกว่าการลงทุนคือ การมีสติและปราศจากอารมณ์ จากนั้นผลตอบแทนก็จะเป็นตัวสะท้อนให้เห็นว่าเรามีสติและอารมณ์ในการลงทุนมากน้อยแค่ไหน