posttoday

จัดพอร์ตให้รวย ด้วยกองทุน

19 มกราคม 2561

การลงทุนผ่านกองทุนรวม แม้จะมีผู้จัดการกองทุนนำเงินไปทำงานให้ แต่นักลงทุนก็ต้องทำการบ้าน หรือติดตามสถานการณ์ต่างๆ

โดย...พูลศรี เจริญ

การลงทุนผ่านกองทุนรวม แม้จะมีผู้จัดการกองทุนนำเงินไปทำงานให้ แต่นักลงทุนก็ต้องทำการบ้าน หรือติดตามสถานการณ์ต่างๆ ที่มีผลต่อการลงทุนเช่นกัน ทั้งนี้เพื่อจะได้ปรับพอร์ตได้ทัน

ที่สำคัญคือ ต้องลงทุนตามแผนอย่างมีวินัย โดยหมั่นตรวจสอบผลการดำเนินงานของกองทุนรวมเพื่อปรับเปลี่ยนแนวทางให้เหมาะสมตามเป้าหมายที่วางไว้จนประสบความสำเร็จ

สำหรับการจัดพอร์ตลงทุนในกองทุนรวมปี 2561 นี้ มีคำแนะนำจาก สานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล นักวิเคราะห์กองทุนรวม บริษัท หลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) ที่มองว่าการลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่เอเชียยัง มาแรง

หุ้นไทยและหุ้นจีนเป็นดาวเด่นสำหรับปีนี้

สัดส่วนการลงทุนสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง ให้ใช้หลักการหรือสูตรเดียวกับการลงทุนด้วยตัวเอง นั่นคือ ลงทุนในกองทุนหุ้น 70%

อีก 30% ลงทุนในตราสารหนี้ โดยสัดส่วนที่ว่านี้ ให้แบ่งไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ผ่านทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (รีท) สัดส่วน 10%

ทีนี้เรามาลงลึกการจัดพอร์ตลงทุนในหุ้น สานุพงศ์ แนะนำกองทุนหุ้นไทย 30% กองทุนหุ้นจีน 10% และกองทุนหุ้นเฮลท์แคร์ 10%

สูตรที่แนะนำข้างต้น หากลงทุนอย่างน้อย 1 ปี คาดว่าให้ผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 8% อย่างไรก็ดีพอร์ตที่แนะนำนี้ควรลงทุนเป็นระยะเวลา 1-3 ปี

"เหตุผลที่ให้น้ำหนักหุ้นไทยมากที่สุด เนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นตัวดีกว่าคาดจากการท่องเที่ยวและภาคส่งออก กระตุ้นภาคบริโภค ซึ่งหากมองในแง่มูลค่าหุ้นปัจจุบันถือว่ายัง ไม่แพงมาก" สานุพงศ์ กล่าว

จัดพอร์ตให้รวย ด้วยกองทุน

การจัดพอร์ตกองทุนหุ้นไทย ให้ผสมผสานกองทุน 3 แบบ ดังนี้

แบบแรก กองทุนที่มีนโยบายการบริหารแบบเชิงรุก หรือที่เรียกว่า แอ็กทีฟฟันด์ กองทุนประเภทนี้จะบริหารผลตอบแทนให้ชนะดัชนีอ้างอิง หรือเกณฑ์มาตรฐาน หรือบางคนอาจเรียกดัชนีชี้วัด

แบบที่ 2 กองทุนที่มีนโยบายการลงทุนแบบระมัดระวัง หรือแพสซีฟฟันด์ กองทุนประเภทนี้เน้นสร้างผลตอบแทนล้อไปตามดัชนีอ้างอิง

แบบที่ 3 กองทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก หรือมิดแอนด์สมอลแคป

ขอยกตัวอย่าง กองทุนหุ้นแบบแอ็กทีฟที่ บล.ฟิลลิป แนะนำปีนี้ คือ กองทุนเปิด วรรณ เอเอ็มเซ็ท 50 1AMSET50 มีการบริหารกองทุนแบบเชิงรุกเพื่อสร้างผลตอบแทนให้สูงกว่า SET50 Index (เกณฑ์มาตรฐาน)

การคัดเลือกหุ้นเข้าพอร์ต เน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ภายใต้ดัชนี SET50 และเป็นบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ประมาณ 25-30 บริษัทเป็นหลัก อีกทั้งมีการกระจายการลงทุนไปยังหุ้นขนาดกลางและเล็กเพื่อสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มให้กับกองทุน

กองทุนดังกล่าวเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่สูงและคาดหวังใกล้กับดัชนี SET50 และสามารถรับความเสี่ยงได้ในระดับสูงจากความผันผวนของตลาดหุ้นได้ เหมาะสำหรับการลงทุนระยะเวลาปานกลางถึงยาว (3 ปี)

กองทุนเปิดบัวหลวงทศพล (BTP) มี นโยบายการลงทุน เน้นการลงทุนระยะปานกลางและระยะยาวในหุ้นพื้นฐานดี ไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (เอ็นเอวี) ซึ่ง ผู้จัดการกองทุนมีกลยุทธ์ในการบริหารกองทุนเพื่อมุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวสูงกว่าดัชนีชี้วัด

สำหรับหุ้นที่กองทุนเปิดบัวหลวงทศพลลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2560 มีดังนี้

จัดพอร์ตให้รวย ด้วยกองทุน

ธนาคารกรุงเทพ สัดส่วน 10.89% บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ 9.57% บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป 9.36% บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น 9.18% และบริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ 9.15%

"รับเสี่ยงได้สูง แนะนำให้ลงทุนในกองทุนที่มีนโยบายการบริหารเชิงรุก กองทุนประเภทนี้เน้นการสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าดัชนีอ้างอิง สาเหตุที่แนะนำให้ลงทุนในแอ็กทีฟฟันด์ เนื่องจากหุ้นไทยยังมีทิศทางเป็นขาขึ้น" สานุพงศ์ ให้เหตุผล

เหตุผลที่ บล.ฟิลลิป แนะนำให้ลงทุนในหุ้นจีน เนื่องจากเศรษฐกิจมีเสถียรภาพมากขึ้น รัฐบาลหันมาให้ความสำคัญกับการเติบโตเชิงคุณภาพมากกว่าเชิงปริมาณ เปลี่ยนจากการพึ่งพาส่งออกและการลงทุนภาครัฐมาให้ความสำคัญกับการบริโภคภายในประเทศและการลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงแทน

ส่วนการลงทุนในกองทุนหุ้นรายกลุ่ม หรือเซ็กเตอร์ฟันด์ แนะนำกองทุนหุ้นเฮลท์แคร์ เนื่องจากจะได้ประโยชน์จากโครงสร้างประชากรทั่วโลกที่มีปริมาณผู้สูงอายุเพิ่ม ค่าใช้จ่ายทางการแพทย์เพิ่ม เหมาะกับการลงทุนระยะยาว นอกจากนี้ราคาหุ้นที่ซื้อขายในปัจจุบันถูกกว่าดัชนี S&P 500

ปิดท้ายกันที่การจัดพอร์ตลงทุนให้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงและเป้าหมายการลงทุน ในที่นี้จะขอยกตัวอย่างการจัดพอร์ตกองทุนรวมจากเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ดังนี้

หากคุณมีเป้าหมายเก็บเงินดาวน์เพื่อซื้อบ้าน 3 แสนบาท ในอีก 3 ปี ไม่อยากให้เงินเก็บก้อนนี้เสี่ยงมาก ก็อาจจะจัดพอร์ตแบบระมัดระวัง เป็นกองทุนรวมตราสารเงิน 30% กองทุนรวมตราสารหนี้ 40% และกองทุนรวมตราสารทุน 30% ก็จะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 5.9% ต่อปี

เป้าหมายเก็บเงินไว้ใช้ในยามเกษียณ มีระยะเวลายาว สามารถจัดพอร์ตตามช่วงวัยได้ เช่น วัยเริ่มทำงาน รับความเสี่ยงสูงได้ อาจจัดพอร์ตเชิงรุก เป็นกองทุนรวมตราสารเงิน 10% กองทุนรวมตราสารหนี้ 20% และกองทุนรวมตราสารทุน 70% ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 9.5% ต่อปี

วัยกลางคน รับความเสี่ยงได้ปานกลางเพราะมีภาระครอบครัวมากขึ้น อาจจัดพอร์ตเชิงปานกลาง เป็นกองทุนรวมตราสารเงิน 20% กองทุนรวมตราสารหนี้ 30% และกองทุนรวมตราสารทุน 50% ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 7.7% ต่อปี

ทั้งหมดคือ คำแนะนำการจัดพอร์ตลงทุนในกองทุนรวม จะเห็นได้ว่าแม้เราจะให้มืออาชีพบริหารเงินให้ แต่ก็ต้องติดตามข่าวสารข้อมูล และมีการปรับพอร์ตเช่นกัน ทั้งนี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลงทุน n