posttoday

3 สิ่งที่ควรจะทำ เมื่อเริ่มปีใหม่

10 มกราคม 2561

โดย...กิติชัย เตชะงามเลิศ นักลงทุนหุ้นและอสังหาริมทรัพย์

โดย...กิติชัย เตชะงามเลิศ นักลงทุนหุ้นและอสังหาริมทรัพย์

จริงๆ แล้ววัฒนธรรมของฝรั่งมีทั้งสอดคล้องกับสังคมไทย และไม่เหมาะสมกับสังคมไทย โดยถ้าสังคมไทยคัดเลือกส่วนที่ดีงาม นำมาปรับใช้ ก็น่าจะทำให้สังคมไทยดีขึ้น แต่คนไทยบางส่วนชอบเลือกส่วนที่ไม่ค่อยดีมาใช้อย่างผิดๆ อย่างเช่นวันวาเลนไทน์ การให้ความเคารพผู้อาวุโส การดูแลบุพการี เป็นต้น ส่วนวัฒนธรรมของฝรั่งที่ผมเห็นว่าน่าเอามาใช้เป็นอย่างยิ่ง เช่น การให้บุตรหลานไปทำงานพาร์ตไทม์ในช่วงปิดเทอม ในขณะที่คนไทยมักจะพาลูกไปห้าง หรือถ้ารวยหน่อยก็ไปเที่ยวต่างประเทศ หรือส่งไปเรียนซัมเมอร์

ถ้าผมมีลูก ผมตั้งใจจะให้ลูกไปทำงานพาร์ตไทม์ หรือทำงานอดิเรกที่สร้างรายได้ โดยจะโปะเงินให้เป็น 2 เท่าของรายได้ที่ลูกหาได้ เป็นการสอนให้ลูกรู้จักคุณค่าของเงิน จะได้ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย สิ่งใดที่ลูกอยากได้ก็ต้องทำงานเพื่อแลกกับสิ่งเหล่านั้น ถ้าอยากได้โทรศัพท์มือถือราคาแพงๆ สมมติว่าราคา 2.4 หมื่นบาท นั่นหมายความว่าลูกของผมจะต้องทำงานให้มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 8,000 บาท แล้วที่เหลืออีก 1.6 หมื่นบาท ผมก็จะโปะให้ลูก โทรศัพท์มือถือเครื่องนี้น่าจะทำให้ลูกผมภาคภูมิใจกว่าเพื่อนของเขา ว่าได้มาจากหยาดเหงื่อของตัวเอง แล้วก็จะทำให้ผมภูมิใจว่าลูกของผมสามารถหาเงินได้ด้วยตัวเอง ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมมั่นใจได้มากขึ้นว่า อนาคตของลูกผมคงจะไม่ใช่เป็นคนที่จะเป็นภาระของผมและประเทศชาติ และไม่มีหนี้สินล้นพ้นตัว เหมือนอย่างคนอื่นๆ ในประเทศไทย

อีกสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะพูดถึงในบทความนี้ ก็คือ New Year Resolution โดยปกติช่วงปลายปี ฝรั่งส่วนใหญ่มักจะชอบทำ New Year Resolution คือ วางแผนว่าจะทำอะไรบ้างในปีใหม่นี้ ซึ่งผมเห็นด้วยอย่างยิ่งว่าเป็นสิ่งที่ดี โดยเราควรจะทบทวนสิ่งที่เราทำไปและสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตเรา ครอบครัว เพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงาน สังคมไทย และโลก ในรอบปีที่ผ่านมา ว่ามีอะไรที่ดีหรือไม่ดีอย่างไร สิ่งที่ดีแล้วก็ควรจะดำเนินต่อไป ส่วนสิ่งที่ไม่ดีแล้วก็ควรคิดอ่านที่จะแก้ไขให้มันดีขึ้น เพื่อจะได้ไม่สร้างปัญหากับเราในภายภาคหน้า

ส่วนตัวผมเอง ในฐานะนักลงทุน ก็คงจะต้องทบทวนผลลัพธ์จากการลงทุนด้วยเช่นกัน โดยผมจะทบทวนดูว่า

1.การลงทุนในปีที่ผ่านมา ได้ผลตอบแทนเป็นอย่างไร หุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุนไปมีรายการไหน ที่ตัดสินใจถูกต้องหรือผิดพลาดอย่างไร โดยเปรียบเทียบกับอัตราอ้างอิง โดยหุ้นผมจะใช้ดัชนีหุ้นไทย (SET INDEX) เป็นอัตราอ้างอิง บวกกับอัตราเงินปันผล ผมมักจะตีคร่าวๆ ว่ามีค่าเท่ากับ 3% ซึ่งก็จะคำนึงถึงสภาพตลาดหุ้นและกลุ่มของหุ้นที่ผมลงทุนประกอบด้วย และจุดมุ่งหมายที่ตัดสินใจลงทุนตั้งแต่แรกว่าคิดอย่างไร และเป็นไปตามที่คิดไหม ส่วนอสังหาริมทรัพย์ ผมมักจะดูจากผลตอบแทนที่ได้รับ และความรวดเร็วในการขาย

2.ทบทวนหนี้สิน (ถ้ามี) ว่าเป็นหนี้ที่เกิดจากอะไรบ้าง และอัตราดอกเบี้ยสูงต่ำอย่างไร โดยพยายามที่จะไม่ก่อหนี้เพื่อสินค้าที่เสื่อมมูลค่าได้ง่าย เช่น รถยนต์ โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ

ปัจจุบันนี้ธุรกิจผ่อนสินค้ารุกไปถึงเครื่องสำอางและทัวร์แล้ว ผมไม่เข้าใจคนที่ซื้อสินค้าเหล่านี้ด้วยเงินผ่อนคิดอย่างไร โดยเฉพาะเครื่องสำอางและทัวร์ ซึ่งเป็นสินค้าและบริการที่ไม่จำเป็นกับชีวิตเลย ซึ่งอัตราดอกเบี้ยประเภทสินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิตจะมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงมาก ประมาณ 18-25% ต่อปี การที่ท่านจะลงทุนให้ได้ผลตอบแทนในระดับนั้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว ขนาด วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนที่มีชื่อเสียงระดับโลก ยังทำผลตอบแทนได้ประมาณ 20% เท่านั้น ยกเว้นแต่ท่านมีเงินมากพออยู่แล้ว อยากซื้อมาใช้ หรืออยากไปเที่ยว อย่างนั้นไม่ว่ากัน

สำหรับคนที่เป็นหนี้ ควรจะพยายามลดและล้างหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงที่สุดไปก่อน ส่วนมากมักจะเป็นสินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล หลังจากล้างหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงไปหมดแล้วค่อยมาเปรียบเทียบดูว่า ระหว่างคงหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำ กับมีเงินเหลือนำไปลงทุนในทรัพย์สินที่คาดหวังผลตอบแทนได้สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตั้งแต่ 1.50-2 เท่าเป็นต้นไป หรือจะไปล้างหนี้ให้หมดเสียก่อน แล้วค่อยคิดที่จะลงทุน

นั่นคงแล้วแต่ Risk Appetite ของแต่ละท่านและความเชื่อมั่นของทรัพย์สินที่จะลงทุนว่ามีโอกาสมากน้อยแค่ไหนที่จะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนตามที่คาดหวัง และควรตั้งสัตย์ปฏิญาณตนว่าจะไม่ก่อหนี้สินเพื่อซื้อสินค้าที่เสื่อมมูลค่าได้ง่ายดังกล่าวอีก ยกเว้นการก่อหนี้เพื่อซื้อสินทรัพย์ที่จะทวีมูลค่าเมื่อเวลาผ่านไป เช่น บ้านหรือคอนโดไว้อาศัยอยู่เองหรือเพื่อปล่อยเช่า แต่ควรที่จะได้ผลตอบแทนจากการเช่าไม่ต่ำกว่า 5-6% ถ้าอย่างนี้ผมขอสนับสนุนเต็มที่ครับ เพราะว่าท่านจะประหยัดค่าเช่าบ้าน และไม่ว่าท่านจะจ่ายค่าเช่าไปกี่สิบปี ท่านก็ไม่มีวันที่จะได้เป็นเจ้าของ

ในขณะที่ถ้าท่านผ่อนบ้านหรือคอนโดกับธนาคาร ภายใน 20-30 ปี แล้วแต่ระยะเวลาที่ท่านกู้ ในที่สุดท่านก็จะได้เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ชิ้นนั้น และราคาก็คงจะมีมูลค่ามากกว่าราคาที่ท่านซื้อไว้ กำไรทั้งได้อยู่อาศัยและมูลค่าที่สูงขึ้น

3.ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะท่านที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรจะตรวจทุกๆ ปี และท่านที่มีอายุ 60 ปี ขึ้นไป ควรจะตรวจปีละ 2 ครั้ง ทำให้เราทราบว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมาลักษณะการใช้ชีวิตของเราเป็นการส่งเสริมหรือทำลายสุขภาพของเราเอง ต้นทุนของการป้องกันนั้นถูกกว่าค่ารักษาพยาบาลมาก ปัจจุบันค่ารักษาพยาบาลโดยเฉพาะในโรงพยาบาลเอกชนสูงมาก ดังนั้นการที่มีสุขภาพที่แข็งแรงทำให้ท่านประหยัดค่าใช้จ่ายด้านนี้ไปได้มาก ทำให้ท่านมีเงินเหลือที่จะไปลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนและเสริมความมั่นคงให้กับชีวิตของท่าน

ปีใหม่นี้ขออวยพรให้ท่านผู้อ่านครอบครัวมีสุขภาพแข็งแรงและมีเงินใช้มากๆ นะครับ