posttoday

ดอกเบี้ยไทย จะต่ำยาวตลอดปี’61

30 ตุลาคม 2560

โดย...พิชัย เลิศสุพงศ์กิจ, CFP, และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ธนชาต

โดย...พิชัย เลิศสุพงศ์กิจ, CFP, และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ธนชาต email : [email protected]

อัตราดอกเบี้ยนโยบายบ้านเรามีแนวโน้มทรงตัวที่ระดับต่ำยาวตลอดปี 2561 เนื่องจากธนาคารกลางส่วนใหญ่ยังคงทำนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ยกเว้นธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) นอกจากนั้น สภาพคล่องยังคงล้นระบบการเงินไทย สถานการณ์เช่นนี้จะหนุนการลงทุนในตลาดหุ้นไทย

ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ธนาคารกลางยูโร (อีซีบี) มีมติขยายเวลาโครงการซื้อพันธบัตร (คิวอี) ออกไปอีก 9 เดือน จนถึงเดือน ก.ย. 2561 และเปิดโอกาสที่จะทำคิวอีต่อไปหลังจากนั้น

อย่างไรก็ดี อีซีบีจะลดวงเงินคิวอีลงเหลือ 3 หมื่นล้านยูโร/เดือน ตั้งแต่เดือน ม.ค. 2561 จากปัจจุบันอยู่ที่ 6 หมื่นล้านยูโร/เดือน

ประธานอีซีบีแสดงความเชื่อมั่นเกี่ยวกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของยูโรโซน แต่ยังคงระมัดระวังเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อที่ซบเซา จึงจำเป็นต้องกระตุ้นผ่านมาตรการคิวอีอย่างต่อเนื่อง

การเคลื่อนไหวครั้งนี้ถูกตีความว่า อีซีบีจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำต่อไปจนถึงปี 2562 เป็นอย่างน้อย ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ในยุโรปปรับลง เงินยูโรอ่อนค่า ตลาดหุ้นทั่วโลกตอบเชิงบวก

ก่อนหน้านั้น ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด เคยส่งสัญญาณจะค่อยๆ ถอนคิวอีอย่างช้าๆ กล่าวคือจะใช้เวลาถึงราว 4 ปี ในการปรับลดขนาดงบดุลของเฟดจาก 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ลงเหลือ 3.0 ล้านล้านดอลลาร์

ขณะที่ผลการเลือกตั้งญี่ปุ่น นายกรัฐมนตรี ชินโสะ อาเบะ ชนะการเลือกตั้งได้เสียงเกิน 2 ใน 3 ของรัฐสภา ทำให้เขายังคงเดินหน้า “อาเบะโนมิกส์” กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงิน-การคลังต่อไป

การเดินหน้าทำคิวอีของธนาคารกลางยูโรและญี่ปุ่นจะช่วยลดทอนผลลบจากการค่อยๆ ถอนคิวอีของเฟด

สภาพคล่องในระบบการเงินโลกจึงมีแนวโน้มจะอยู่ในระดับสูงเพียงพอจะหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และไม่กระทบต่อตลาดการเงินโลก

การที่ธนาคารกลางยูโรและญี่ปุ่นส่งสัญญาณคงอัตราดอกเบี้ยต่ำไปอย่างน้อยจนถึงปี 2562 เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังห่างไกลเป้าหมาย 2% ทำให้แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเฟดถูกถ่วงให้ขึ้นช้าลงด้วย

รายงานประชุมเฟดครั้งล่าสุด ชี้ว่า เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ในการประชุมเดือน ธ.ค.นี้ และขึ้นอีกปีละ 3 ครั้ง ในปี 2561-2562

ตลาดรับรู้อย่างกว้างขวางไปแล้ว ถึงการปรับขึ้นในเดือน ธ.ค.นี้แต่มีโอกาสลดลงมากที่จะขึ้นอีก 3 ครั้ง ในปี 2561

ส่วนตัวผมคิดว่า น่าจะขึ้นได้แค่ 2 ครั้ง เนื่องจากแรงกดดันเงินเฟ้อโลกที่อยู่ในระดับต่ำ และการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของธนาคารกลางส่วนใหญ่ จะเป็นปัจจัยหลักที่ถ่วงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด

วกกลับมาที่สภาพคล่องทางการเงินในบ้านเรา มีแนวโน้มที่จะสูงต่อเนื่อง จากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดกว่า 1 ล้านล้านบาท/ปี แม้เศรษฐกิจไทยจะมีสัญญาณขยายตัวดีขึ้น ซึ่งจะกระตุ้นการนำเข้า แต่เรายังคงเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูงอยู่ดี

ภายใต้สถานการณ์ที่ระบบการเงินไทยยังคงมีสภาพคล่องสูงมาก และอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลักจะปรับขึ้นอย่างเชื่องช้า จึงมีความเป็นไปได้สูงที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายบ้านเราจะทรงตัวในระดับต่ำ 1.5% ตลอดปี 2561

สถานการณ์เช่นนี้ดูจะเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจที่ค่อยๆ เร่งตัวขึ้นอยู่แล้ว

นักวิเคราะห์ทยอยปรับขึ้นประมาณการทางเศรษฐกิจและกำไรของบริษัทจดทะเบียนในช่วง 2เดือนที่ผ่านมา และมีแนวโน้มจะปรับขึ้นอีก

การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกส่งผลดีต่อการส่งออกสินค้าและบริการที่คิดเป็นสัดส่วนที่สูงถึงราว 70% ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) บ้านเรา

เมื่อผนวกกับการลงทุนภาครัฐที่คาดว่า เม็ดเงินจะไหลเข้าสู่ภาคก่อสร้างมากขึ้นในปีหน้า และความคืบหน้าของระเบียงเขตเศรษฐกิจตะวันออก (อีอีซี) ตลาดจึงมีมุมมองบวกต่อเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.)

ธนชาตยังคงมุมมองบวกต่อตลาดหุ้นไทยว่า ได้เข้าสู่ช่วงขาขึ้นรอบใหม่แล้ว หนุนโดยเศรษฐกิจที่คาดว่าจะโตเฉลี่ย 4.3% ในช่วงปี 2561-2563 เร่งตัวขึ้นจากที่โตเฉลี่ยเพียง 3.1% ในช่วงปี 2553-2560

ขณะที่กำไรต่อหุ้นของ บจ.ไทย ปีนี้ทะลุ 100 บริษัท มาที่ 102 บาท และคาดว่าปีหน้าจะโต 10.6% และ 9.3% ในปี 2561-2562 มาที่ 114 และ 125 บริษัท ตามลำดับ เมื่อคูณค่าสัดส่วนราคาต่อกำไร(พี/อี) เฉลี่ย 16 เท่า จะได้เป้าหมายดัชนีที่ 1,830 จุด และ 2,000 จุด ในปี 2561-2562 ตามลำดับ

ช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้า ไฮไลต์จะอยู่ที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ที่จะทยอยออกมามากขึ้น ก่อนถึงเส้นตายในวันที่ 15 พ.ย.นี้ การรายงานงบนี้จะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนประมาณการกำไรและราคาหุ้นเป้าหมายต่อไป

ระหว่างทาง ตลาดหุ้นอาจเผชิญกับแรงขายทำกำไรระยะสั้นบ้าง โดยเฉพาะเมื่อวิ่งเข้าหาแนวต้าน 1,740 จุด แต่มองเป็นโอกาสซื้อช่วงย่อ

เรามองความเสี่ยงด้านล่างจำกัด เนื่องจากปีนี้คนไทยยังซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) และกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (อาร์เอ็มเอฟ) ค่อนข้างน้อย ช่วงปลายปียังมีเม็ดเงินรอซื้ออยู่อีกอย่างน้อย 3 หมื่นล้านบาท

ดัชนี SET มีแนวโน้มแกว่งขึ้นในกรอบ 1,690-1,740 จุด ขณะที่ภาพระยะสัปดาห์ยังมองบวก แนะปล่อยให้กำไรลอยตามตลาดขึ้นไป ด้วยเป้าหมายอยู่ที่ 1,740 จุด และเป้าหมายสิ้นปี 2561 อยู่ที่ 1,830 จุด หรือสูงกว่านั้น

ทั้งนี้ สามารถติดตามบทวิเคราะห์รายหุ้นของธนชาตผ่านแอพพลิเคชั่น Think ที่พร้อมให้ดาวน์โหลดแล้ววันนี้ ทั้งในระบบไอโอเอสและแอนดรอยด์

ดาวโหลดที่นี่ https://goo.gl/BhhePK

พบกันใหม่ สวัสดีครับ