posttoday

ลงทุนอย่างไร ให้รวย (1)

03 พฤษภาคม 2560

โดย...กิติชัย เตชะงามเลิศ นักลงทุนหุ้นและอสังหาริมทรัพย์

โดย...กิติชัย เตชะงามเลิศ นักลงทุนหุ้นและอสังหาริมทรัพย์

ปัจจุบันมีทรัพย์สินสำหรับเป็นช่องทางการลงทุนหลากหลายประเภท การจะลงทุนทรัพย์สินประเภทไหนต้องขึ้นอยู่กับนิสัยและความถนัดของนักลงทุนแต่ละคน นอกจากนั้นยังขึ้นอยู่กับช่วงวัยของนักลงทุน ซึ่งนักลงทุนที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี ก็สามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงที่สูง เพราะหากเกิดอะไรขึ้นยังสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ ระดับความสามารถในการรับความเสี่ยงจะลดลงตามอายุที่มากขึ้น ในขณะที่นักลงทุนที่มีอายุช่วงระหว่าง 30-40 ปี ควรจะลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงโดยรวมระดับปานกลาง ส่วนนักลงทุนที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปควรจะลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงโดยรวมไม่สูงนัก สัดส่วนในการลงทุนขึ้นอยู่กับ

1.ขนาดของพอร์ตการลงทุน

2.ไลฟ์สไตล์ของผู้ลงทุน

3.ความรู้และความถนัด

4.ความสามารถในการยอมรับความเสี่ยง

5.อายุของผู้ลงทุน

6.ผลตอบแทนที่ต้องการ

ปัจจุบันพอร์ตการลงทุนในหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ของผมมีสัดส่วน 70/30 คือลงทุนในหุ้น 70 % และอสังหาริมทรัพย์ 30%

หุ้นเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพใกล้เคียงกับเงินสด ถ้าเราขายหุ้นวันนี้ อีกสามวันทำการเราจะได้เงิน แต่หุ้นเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง คือราคาเปลี่ยนแปลงขึ้นลงค่อนข้างมากตลอดเวลา สถิติย้อนหลังที่น่าสนใจว่ามีการขึ้นลงอย่างไรกันครับ หลังจากที่ SET INDEX ขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดที่ 1,789.16 จุด เมื่อเดือน ม.ค. 2537 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ก็เปลี่ยนทิศทางเป็นขาลงหลังจากที่มีแนวโน้มเป็นขาขึ้นมาตลอดช่วงเวลา 18 ปี 9 เดือน โดยลงไปถึง 204.59 จุด ในเดือน ก.ย. 2541 คือ ลงไปถึง 1,584.57 จุด หรือ 88.60% ภายในเวลาเพียง 4 ปี 8 เดือน

ลองคิดเล่นๆ ดูสิครับว่า ถ้าท่านอยู่ในตลาดหุ้นในช่วงเวลานั้น ชีวิตของท่านจะเป็นอย่างไร เงินลงทุนของท่าน สมมติว่า 1 ล้านบาท จะเหลือเพียง 1.14 แสนบาท มีนักลงทุนที่ฆ่าตัวตายทั้งที่เป็นข่าวและไม่เป็นข่าวหลายคนเลยทีเดียว สุภาษิตบทหนึ่งที่เขียนไว้เตือนใจนักลงทุนก็คือ “อย่าเอาไข่ใส่ไว้ในตะกร้าใบเดียว” เพราะว่ามันจะแตกง่าย ถ้าช่วงนั้นท่านนำทรัพย์สินทั้งหมดมาลงทุนในตลาดหุ้น นั่นหมายถึงเงินออมที่อดออมมาจากน้ำพักน้ำแรงที่ท่านอุตสาหะ ต้องแทบจะหมดสิ้นเนื้อประดาตัวกันเลยทีเดียว

ลงทุนอย่างไร ให้รวย (1)

 

ผมจึงย้ำแล้วย้ำอีกว่า ควรจะมีการจัดสรรเงินลงทุนลงในสินทรัพย์หลายประเภท ซึ่งในหนังสือ “ออมจากน้อยเป็นร้อยล้าน” ผมได้เขียนถึงสินทรัพย์ในแต่ละประเภทที่ท่านควรจะลงทุนและสัดส่วนที่เหมาะสมของสินทรัพย์ในแต่ละประเภทตามช่วงวัย ขนาดของเงินลงทุน อุปนิสัยส่วนตัว ความสามารถในการยอมรับความเสี่ยง ฯลฯ สาเหตุที่ SET INDEX ถึงได้ลงวินาศสันตะโรขนาดนั้น เกิดจากวิกฤตต้มยำกุ้งที่เริ่มต้นจากประเทศไทยแล้วแพร่ระบาดไปในหลายๆ ประเทศในอาเซียน

ไม่ว่าจะเป็น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ฯลฯ แม้กระทั่งเกาหลีเองก็โดนผลกระทบวิกฤตนี้จนแทบจะไม่สามารถที่จะรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงินไว้ได้ ค่าเงินบาทที่เคยผูกไว้กับเงินเหรียญสหรัฐที่ 27 บาท/เหรียญสหรัฐ ก็อ่อนปวกเปียกจนไปถึงเกือบ 60 บาท/เหรียญสหรัฐ ผมยังจำได้ว่าผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยในยุคนั้นได้นำทุนสำรองไปสู้กับนักเก็งกำไรค่าเงินตัวเป้งเลยก็คือ จอร์จ โซรอส ซึ่งคนไทยยุคนั้นไม่เคยลืม มีการเปิดแชมเปญฉลองกัน นึกว่าเราจะชนะและรักษาค่าเงินบาทไว้ได้ ที่ไหนได้เราแพ้และสูญเสียทุนสำรองเป็นจำนวนมากและค่าเงินบาทก็อ่อนปวกเปียก เศรษฐกิจไทยตกต่ำ คนตกงานเต็มไปหมด คล้ายๆ กับวิกฤตรัสเซียและค่าเงินรูเบิลในช่วงนี้ ในสมัยนั้นมีนักท่องเที่ยวและคนไทยที่มีฐานะ ก็ใช้โอกาสนี้ในการช็อปปิ้งสินค้านำเข้าราคาแพงๆ เช่น นาฬิกาสวิส ไวน์แพงๆ รถยนต์นำเข้า ฯลฯ ที่ยังไม่ได้ปรับราคาขึ้นตามค่าเงิน หลายๆ คนก็ตุนเงินเหรียญไว้เพราะว่าเห็นค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงเรื่อยๆ

พูดถึงช่วงที่แย่ๆ ของตลาดหุ้นไทยแล้ว เดี๋ยวบทความน่าจะมาพูดถึงช่วงที่ดีกันบ้างนะครับ