posttoday

การปรับพอร์ตอย่างหนักผ่านไปแล้ว ดัชนีน่าจะเริ่มทรงตัวได้

22 พฤศจิกายน 2559

โดย จิตรา อมรธรรม รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซียไซรัส

โดย จิตรา อมรธรรม รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซียไซรัส

การปรับพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติเป็นไปอย่างรุนแรงในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย สำหรับตลาดหุ้นไทย นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิติดต่อกัน 6 สัปดาห์และขายเพิ่มขึ้นอย่างหนักในช่วง 2 สัปดาห์หลังเช่นเดียวกับตลาดฟิวเจอร์สและพันธบัตร แต่ค่าเงินบาทกลับอ่อนค่าน้อยสุดในเอเชีย (เงินริงกิตมาเลเซียและเงินวอนเกาหลีใต้อ่อนค่ามากสุด) จากฐานะการเงินการคลังที่แข็งแกร่งของประเทศ เราเชื่อว่าการปรับพอร์ตขนานหนักได้ผ่านไปแล้ว แต่ทิศทางกระแสเงินทุนจะยังไม่ไหลกลับเข้ามาเพราะยังมีอีกหลายปัจจัยรออยู่ข้างหน้า (ระยะใกล้ๆ มีการประชุมธนาคารกลางสหรัฐกลางเดือนหน้า และการลงประชามติแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญของอิตาลีต้นเดือนหน้า ส่วนปีหน้ายังมีเรื่องเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศส การเจรจาเรื่อง Brexit และอื่นๆอีกมากมาย) จากนี้ไปการไหลออกของเงินทุนต่างชาติน่าจะเริ่มเบาลง ขณะที่บทบาทของกองทุนในประเทศจะมากขึ้น ประกอบกับแรงซื้อของ LTF/RMF ที่จะเข้ามาน่าจะทำให้ดัชนีตลาดเดือนหน้าปรับขึ้นได้   

KTC

ราคาหุ้นพักฐานมาได้พักใหญ่หลังจากปรับขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 156.50 บาทตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ถือว่า Sell on fact หลังประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 และสะท้อนกำไรในไตรมาส 4 ที่จะเติบโตชะลอแล้ว เนื่องจากไตรมาสสุดท้ายมักมีค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่สูงกว่าไตรมาสอื่นๆ เพื่อดึงให้ยอดการใช้จ่ายบัตรเครดิตเติบโตท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง ซึ่งนักวิเคราะห์ FSS คาดว่ากำไรจะลดลงประมาณ 9% จาไตรมาส 3 ที่ผ่านมา รวมทั้งปี 2559 กำไรสุทธิน่าจะเติบโตจากปีก่อน 18% สำหรับทิศทางในปี 2560 ยังสดใสเนื่องจาก

1. การเติบโตของสินเชื่อส่วนบุคคลซึ่งมีอัตราผลตอบแทนสูงกว่าสินเชื่อบัตรเครดิต และมีโมเมนตัมที่ดีตั้งแต่ 3Q16 เราคาดว่าจะช่วยเพิ่ม Yield ให้สูงขึ้น ขณะที่ต้นทุนทางการเงินจะได้รับอานิสงส์จากการปรับขึ้นอันดับเครดิตเป็น A+ ทำให้ KTC สามารถออกหุ้นกู้ชุดใหม่ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงหรือล็อกอัตราดอกเบี้ยต่ำได้นานขึ้นกว่าเดิม เราคาดว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยจะสูงขึ้นเป็นประมาณ 15% จาก 14.8% ในปี 2559

2. รายได้ค่าธรรมเนียมจะเป็นปัจจัยผลักดันสำคัญมากขึ้นในระยะต่อไป KTC ได้เริ่มเปิดบริการชำระบัตรเครดิตผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ (SAMSUNG) แล้ว และช่องทางการซื้อของ On-line ซึ่งเป็นช่องทางใหม่ที่รองรับไลฟ์สไตล์การใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ยังไม่รวมถึงการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมที่มาจากการใช้วงเงินและจากร้านค้ารับบัตร เราคาดว่ารายได้ค่าธรรมเนียมจะเพิ่มขึ้นราว 10% ในปี 2560 ใกล้เคียงกับการเพิ่มขึ้นของปีนี้

FSS คงราคาเหมาะสมปีหน้าที่ 168 บาท อิง PE 15 เท่าจากประมาณการการเติบโตของกำไรสุทธิในช่วงปี 2560-2563 ที่น่าจะทำได้ 15-20% ต่อปี (มีโอกาสสูงกว่านี้หากตั้งสำรองหนี้สูญน้อยกว่าคาดจากคุณภาพหนี้ที่เริ่มคงที่และ Coverage ratio ที่อยู่ในระดับสูงกว่า 445%) ราคาหุ้นปัจจุบันคิดเป็น PE เพียง 12 เท่า ถูกที่สุดในกลุ่มไฟแนนซ์ที่ นอกจากนี้ ยังคาดว่าจะจ่ายเงินปันผล 3.80 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Dividend yield 2.6%

GL
ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่อยู่อย่างต่อเนื่อง สมกับที่กำไรของบริษัทอยู่ในช่วงขยายตัว สำหรับกำไรในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ FSS คาดว่ายังสามารถเติบโตได้ตามฤดูกาลที่ดีของสินเชื่อในประเทศ และจะยังเป็นไตรมาสแรกที่ GL จะเริ่มรับรู้กำไรจากธุรกิจในศรีลังกาที่ได้เข้าไปร่วมลงทุน รวมแล้วกำไรทั้งปีนี้จึงน่าจะก้าวกระโดดถึง 84% (กำไร 9 เดือนแรกโต 89% Y-Y) กำไรในปีหน้าเติบโตก้าวกระโดดไม่แพ้กัน เราคาดโตได้ถึง 63%
        
เหตุเพราะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา GL ได้เข้าซื้อและร่วมลงทุนในหลายกิจการมากมาย ดีลจะสร้างรายได้อย่างมีนัยสำคัญในปีหน้า คือธุรกิจในอินโดนีเซียและศรีลังกา การเติบโตของ GL ผู้บริหารไม่ได้มองแต่เฉพาะในภูมิภาคเอเซีย แต่เป็นระดับโลก และเงินสดในมือล่าสุด 6 พันล้านบาท ไม่นับความสามารถในการก่อหนี้ได้อีกมากด้วยอัตราส่วนหนี้ต่อทุนที่ยังอยู่ในระดับต่ำ เปิดโอกาสให้ GL สามารถขยายธุรกิจได้อีกมาก พอๆกับตลาดที่ยังมีมหาศาลทั้งในอินโดนีเซีย ศรีลังกา กัมพูชา เมียนม่าร์ และลาว แต่จะประสบความสำเร็จหรือไม่ ต้องตามดูกันต่อไป แต่ประเด็นคือเราประเมินราคาเหมาะสมไว้ 48 บาท ราคาหุ้นเกินพื้นฐานแล้ว การซื้อใหม่ควรรอปรับฐานก่อน แต่หากมีอยู่แล้ว ต้องตามดูอย่างใกล้ชิดเพราะแม้ยังไม่มีสัญญาณขายแต่ก็พร้อมจะปรับฐาน