posttoday

Prime time for Prime low beta เวลาที่ใช่ ของหุ้นผันผวนต่ำ

12 กรกฎาคม 2559

โดย บุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.ธนชาต

โดย บุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.ธนชาต

เมื่อฉบับก่อน ผมทิ้งท้ายไว้ว่าในโลกการลงทุนอาจไม่มี Low Risk, High Return อยู่จริง แต่อย่างน้อยๆ Low beta, high benefits ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ และนอกจาก T-LowBeta แล้ว ในปีนี้ บลจ.ธนชาต ยังได้ออกกองทุนน้องใหม่ T-PrimeLowBeta ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นที่มีค่า Beta ต่ำกว่ากองทุนเดิมที่กำหนดไว้ว่าต่ำกว่า 1 เป็นต่ำกว่า 0.85 เท่า ส่วนตัวเลขที่ต่างกัน 0.15 เท่า สร้างความแตกต่างอะไรบ้าง? ผมจะกล่าวต่อไปครับ

โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา บลจ.ธนชาต ได้เปิดขายกองทุน T-PrimeLowBeta เป็นครั้งที่ 3 ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก จนเราต้องขยายขนาดกองทุน และทำให้กองทุนนี้มีขนาดใหญ่กว่ากองทุน T-LowBeta ซึ่งเป็นกองทุนต้นแบบที่ตั้งมาก่อนถึงกว่า 3 ปีเสียอีก และแม้ว่าในปีนี้จะเหลือโอกาสให้ผู้ที่สนใจลงทุนอีกครั้งในเดือนตุลาคม แต่คาดว่าไซส์คงเหลือน้อยเต็มที ผู้ที่สนใจอาจต้องรอลงทุนในกองทุนนี้อีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า หลังจากที่กองทุนนี้จะเปิดเป็นกองทุนเปิดอย่างสมบูรณ์แบบครับ
สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ T-PrimeLowBeta ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม ส่วนหนึ่งมาจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำมากในปัจจุบัน จนทำให้ผู้ฝากเงินต้องหามองหาผลตอบแทนอื่นๆในระดับที่พอใจ และส่วนสำคัญก็มาจากลักษณะของกองทุนที่มีนโยบายลงทุนตอบโจทย์กลุ่มลูกค้านั่นเอง

คำตอบข้อแรก คือ การกำหนดให้หุ้นที่ลงทุนต้องมีค่า Beta เฉลี่ย 3 ปี น้อยกว่า 0.85 นั้น หมายความว่าทำให้กองทุนสามารถเลือกบริษัทที่มีฐานะการเงินมั่นคงเป็นบริษัทขนาดใหญ่ แข็งแกร่ง และมีสัดส่วนหนี้ต่ำมาก เพราะกลุ่มหุ้นที่เราเลือกลงทุนจำนวน 30-40 บริษัทนั้น หลายบริษัทเป็นบริษัทขนาดใหญ่ กว่าครึ่งมียอดขายมากกว่า 1 หมื่นล้านบาทต่อปี ทำธุรกิจที่ได้เปรียบเชิงแข่งขัน คือ มีคู่แข่งน้อยราย หรือเป็นธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะ ทำให้ลูกค้าที่ลงทุนในกองทุนนี้มั่นใจได้เลยว่า เราเลือกลงทุนในบริษัทที่ดีมาก

คำตอบต่อมา คือ หุ้นในกลุ่มที่เราเลือกลงทุนจ่ายเงินปันผลที่อยู่ในระดับที่น่าสนใจมาก เพราะส่วนใหญ่จ่ายมากกว่าอัตราเงินเฟ้อ และอัตราเงินฝากประจำ 1 ปีเสียอีก จากสถิติที่เราลองรวบรวมมา 5 ปีย้อนหลัง จะพบว่าหุ้นในกลุ่มที่ลงทุนนั้น ส่วนใหญ่จะจ่ายอยู่ที่ประมาณ 3-5% ต่อปีและจ่ายอย่างต่อเนื่องทุกปี ซึ่งเงินปันผลสำหรับการลงทุนในหุ้นจะให้ข้อดีใน 2 ด้านคือ เราเหมือนมีฐานเก็บไว้ให้อุ่นใจก่อน คือถ้าหุ้นขึ้นลงน้อยๆ เงินปันผลก็มากกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่แล้ว และหากว่าหุ้นเกิดมีช่วงที่ขาดทุน เงินปันผลก็จะช่วยเติมเต็มหรือบรรเทาให้ขาดทุนน้อยลง หรือ ไม่ขาดทุนเลยก็ได้ เรียกได้ว่าเป็นกันชนไม่ให้พอร์ตของเราบาดเจ็บมากนั่นเอง ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่เราค่อนข้างแนะนำผู้ที่คุ้นเคยแต่การฝากเงิน เมื่อเปลี่ยนมาลงทุนในหุ้น ย่อมต้องไม่เคยชินราคาหุ้นที่มีขึ้นมีลง แต่เมื่อมีเงินปันผลคอยลดความเหวี่ยงของราคาที่จะเกิดขึ้น

จริงๆแล้ว ถ้าถามว่าทำไม T-PrimeLowBeta ถึงเหมาะกับผู้ที่ทิ้งเงินฝากไว้กับธนาคารเพื่อกินดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว นั่นก็เพราะปัจจุบันอัตราผลตอบแทนจากตราสารหนี้ทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำมาก แม้ว่ามีสัญญาณว่าเฟดน่าจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยเร็วๆนี้ หรือถ้าจะขึ้นก็คงไม่สามารถขึ้นได้มากกว่า 1 ครั้งแน่นอน ซึ่งเป็นผลมาจากการอังกฤษตัดสินใจออกจากสหภาพยุโรป ทำให้เศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แข็งแรงนัก ดูเปราะบางขึ้นไปอีกเนื่องจาก เหตุการณ์ดังกล่าวนำมาซึ่งความไม่มั่นใจในหลายเรื่อง ทำให้เกิดความเสี่ยงหลายประการ จนนักลงทุนเริ่มหันไปลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe haven) อย่างทองคำแทนก็ตาม

แต่เชื่อไหมครับว่าปัจจุบัน ทั่วโลกมีพันธบัตรรัฐบาลที่ผลตอบแทนติดลบกว่า 40% เพราะฉะนั้นแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยแม้จะไม่ใช่ขาขึ้นแต่ก็คงจะไม่ลดต่ำลงไปกว่านี้มากนัก ทำให้กองทุนตราสารหนี้อาจไม่ตอบโจทย์ลูกค้าเงินฝากระยะยาวเหมือนที่ผ่านมา

ดังนั้น ช่วงเวลานี้แหละครับ ที่เหมาะกับการที่ผู้ฝากเงินจะเปลี่ยนการฝากเงินในธนาคารมาเริ่มลงทุนในหุ้นผันผวนต่ำบ้าง เพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทน และไม่เสียโอกาสจากการหยุดอยู่กับดอกเบี้ยเงินฝากที่ 1 ปียังไม่ถึง 2% ด้วยซ้ำ

แต่สำหรับผู้ที่สนใจในหุ้นกลุ่ม Low Beta อาจไม่ทันที่จะสะสม T-PrimeLowBeta เข้าพอร์ตแล้ว และคงต้องรอจนถึงปีหน้า ในระหว่างนี้ ถ้าท่านมองหาการลงทุนในหุ้นผันผวนต่ำกองทุนนี้ ผมก็ขอแนะนำ T-LowBeta กองทุน 5 ดาว จาก Morningstar และ กองทุนยอดเยี่ยมแห่งปีจากวารสารการเงินธนาคาร เป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากแทนครับ