posttoday

จัดทัพปรับพอร์ตปี 2559

13 มกราคม 2559

โดย ดร.ศุภกร สุนทรกิจ กรรมการบริหาร สายงาน Wealth Management บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์

โดย ดร.ศุภกร สุนทรกิจ กรรมการบริหาร สายงาน Wealth Management  บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์

สวัสดีครับท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน ตลาดหุ้นไทย ปิดปลายปีไปที่ 1,288.02 จุด ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดหมายว่าจะปิดตลาดพ้น 1,300 จุด และตลาดหุ้นไทยเปิดศักราชใหม่กันแบบไม่ค่อยสดใสนัก จากปัจจัย

ต่าง ๆ ที่กดดันตลาด ส่งผลให้ SET Index เปิดมาต้นปีที่ระดับต่ำกว่า 1,250 จุด

ผมจึงได้รับคำถามจากนักลงทุนหลายท่านว่า ปีนี้ เราควรจะจัดทัพปรับพอร์ต อย่างไร ให้ได้ผลตอบแทนดีขึ้นกว่าเดิม ดังนั้น ก่อนอื่น ผมขอสรุปถึงสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด 5 อันดับแรก ในปี 2558

(Bloomberg ณ วันที่ 28 ธ.ค. 58)  คือ กองทุนอสังหาริมทรัพย์และทรัสต์ ให้ผลตอบแทนถึง 9.35% อันดับ 2 คือ ตลาดหุ้นจีน Shanghai (CNY) ให้ผลตอบแทน 9.25% อันดับ 3-5 คือ ตลาดหุ้นเยอรมัน ที่สร้างผล ตอบแทน 8.65% ญี่ปุ่น ให้ผลตอบแทน 8.15% และตลาดหุ้นยุโรป (EURO STOXX) ให้ผลตอบแทน อยู่ที่ 7.47% ส่วนตลาดหุ้นไทยของเรา ไม่ใช่สินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุน โดยหากท่านลงทุนตั้งแต่ต้นปีแล้วไม่ได้เทรดเลย ท่านจะขาดทุนถึง 14%  โดยก่อนที่จะปรับพอร์ต เราจะต้องมารู้กันก่อนครับว่าปีนี้ภาวะเศรษฐกิจโลกและไทยจะหน้าตาเป็นอย่างไรกัน

ในปี 2559 นี้ IMF คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวที่ระดับ 3.6% นำโดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ ด้านยุโรป และญี่ปุ่น น่าจะฟื้นตัวแม้ไม่มากแต่ไม่ติดลบ ด้านจีน น่าจะเติบโตได้ที่ระดับ 6.5-7% ส่วนอินเดีย น่าจะเติบโตได้ที่ 7%  ดังนั้น ปี 2559 เศรษฐกิจโลกจะเติบโตนำโดยกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ตามมาด้วยกลุ่มประเทศเอเชียเหนือเช่นจีนและอินเดีย  ด้านเศรษฐกิจของไทย ปีนี้ภาครัฐจะเร่งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ทำให้เรา มองว่า เศรษฐกิจไทยปี 2559 น่าจะเติบโตที่ระดับ 3.2-3.5% ด้านท่องเที่ยว ปี 2559 จะเป็นพระเอกเช่นกัน ทั้งในด้านจำนวนนักท่องเที่ยว และเม็ดเงินการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว

โดยรวมในปีนี้ โลกจะแบ่งเศรษฐกิจเป็น 2 ขั้ว ขั้วแรก คือสหรัฐฯ โดย Fed จะใช้นโยบายการปรับอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป เหมือนการค่อย ๆ แตะเบรก  ส่วนด้าน ยุโรป ญี่ปุ่น จีน และอินเดีย จะใช้นโยบายการผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง ด้วยการอัดฉีดเม็ดเงินในตลาด ถึงไตรมาส 2-3 ปี 2559

ทีนี้ เราควรจัดทัพปรับพอร์ตอย่างไรให้สอดรับกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น ในปี 2559 จากภาวะอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำทั้งในไทย ยุโรป และญี่ปุ่น ที่ยังคงใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ อยู่ในขาขึ้น

ผมจึงแนะนำให้นักลงทุน ลดน้ำหนักการลงทุน (Underweight) ในตราสารหนี้ ให้ถือไว้เป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยเท่านั้น และแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน (Overweight) ในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือ REITS ทั้งในไทย และต่างประเทศ เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอที่ระดับไม่ต่ำกว่า 5.5% ในระดับความเสี่ยงที่ต่ำกว่าการลงทุนในตลาดหุ้น อีกสินทรัพย์ที่น่าสนใจคือ High Yield Bond ที่ปีนี้ อาจจะให้ผลตอบแทนได้ดีแต่ต้องรอดูจังหวะการลงทุนให้เหมาะสม

สำหรับตลาดหุ้น ผมแนะนำให้ Overweight ในหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะ หุ้นยุโรป และญี่ปุ่น จากการคาดการณ์ GDP ที่เติบโตขึ้น และผลกำไรบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดี

ด้านตลาดหุ้นไทย ราคาต่ำลงมามากแต่ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ ต้องเลือกกลุ่มที่พื้นฐานดี มีอัตราเงินปันผลจ่ายสูง หรือเป็นหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ จากการท่องเที่ยว จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ หรือ หุ้นที่มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัว โดยผมให้น้ำหนักการลงทุนระดับปานกลาง (Neutral)
ส่วนทองคำ ให้ติดตามราคาถ้าลดต่ำก็สามารถซื้อเก็บไว้ได้ ส่วนน้ำมัน ให้ลงทุนในลักษณะ Trading หรือซื้อขายทำกำไร

ตัวอย่างพอร์ตการลงทุนสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง แนะนำลงทุนในตราสารหนี้ เช่น หุ้นกู้เอกชน สัดส่วน 40% กองทุนอสังหาริมทรัพย์สัดส่วน 25% หุ้นในประเทศ เช่น LTF สัดส่วน 25% และหุ้นต่างประเทศ สัดส่วน 10%

อย่างไรก็ดี สถานการณ์ในตลาดโลกยังคงได้รับผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงทั้งเรื่องเดิม ๆ เช่น การปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ราคาน้ำมันที่ปรับลงอย่างรุนแรง รวมถึงปัจจัยใหม่ ๆ เช่น จีน และปัญหาความขัดแย้งระหว่างภูมิภาค ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตลาดทุนในปีนี้เป็นระยะ ๆ ซึ่งนักลงทุนควรกระจายการลงทุนและจับตาการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยหลัก หากกรณีจำเป็น ควรปรับลดสินทรัพย์เสี่ยงลง 

ขอให้ท่านผู้อ่านโชคดีในการลงทุนคลอดปี 2559 นะครับ