posttoday

หุ้นตกขนาดนี้ กล้าซื้อ LTF หรือไม่

14 ธันวาคม 2558

โดย...โชติช่วง ธีรขจรโชติ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนฯ บลจ.ธนชาต

โดย...โชติช่วง ธีรขจรโชติ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนฯ บลจ.ธนชาต

เกริ่นมาแบบนี้ เพราะตอนนี้ผมมักจะได้ยินแต่คนถามว่า ซื้อ LTF ได้หรือยัง ปีนี้ซื้อดีไหม หรือไปลงทุนใน RMF อย่างเดียวก่อนดี ถ้าจะตอบแบบกำปั้นทุบดินก็ต้องบอกว่าซื้อเถอะครับ อีก 5 ปี ยังไงก็มีโอกาสได้กำไรมากกว่าขาดทุนครับ จริงๆแล้ว ก็เป็นเรื่องปกติที่เรามักจะสนใจกับปัจจุบัน พอมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ก็เริ่มกลัว พอเห็นหุ้นตกมากๆ ก็จะเริ่มตื่นตระหนก และพาลไม่ลงทุนในหุ้นไปเลย แต่ในโลกการลงทุนเราต้องมองหลายๆ มุม ต้องพิจารณาให้ดีว่าสินทรัพย์ที่เราเลือกลงทุนมีอนาคตแค่ไหน พิจารณาข้อมูลในอดีตว่ามีแนวโน้มเป็นอย่างไร แม้จะไม่สามารถยืนยันได้ 100% แต่ก็เป็นฐานการตัดสินใจที่ดี

LTF คือการลงทุนในหุ้น และมีระยะเวลาลงทุน 5 ปี หรืออย่างน้อยก็ 3 ปี เพราะฉะนั้น การตัดสินใจซื้อ LTF จึงเป็นเรื่องที่ต้องมองกันยาวๆ ปัจจุบันมีกองทุน LTF ในอุตสาหกรรมทั้งหมด 53 กองทุน เมื่อดูผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 5 ปีย้อนหลังพบว่าไม่มีกองทุนไหนติดลบเลย ทั้งๆ ที่ในช่วงเวลา 5 ปีนี้ เราต้องเจอกับ วิกฤตหนี้กรีซ QE Tapering น้ำท่วมใหญ่ วิกฤตการเมืองในประเทศ ฯลฯ กองทุนที่ทำผลงานได้ย่ำแย่ที่สุดคือได้ผลตอบแทน 0.62% ต่อปี ซึ่งอาจดูน้อย แต่เมื่อบวกส่วนต่างที่เราได้จากสิทธิลดหย่อนภาษีแล้วก็นับว่าไม่น้อยทีเดียว และหากพิจารณา SET Index จะพบว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาสามารถทำผลตอบแทนได้ 6.23% ต่อปี และมีกองทุนถึง 32 กองทุนที่สามารถทำผลตอบแทนได้ชนะตลาด ดังนั้นการลงทุน LTF ไม่ควรให้ความสนใจสภาวะการลงทุนในระยะสั้นมากเกินไปจนทำให้เราไขว้เขวครับ

ถ้าถามผมว่า แล้วในอนาคตเรายังหวังอะไรได้บ้าง ดูจะไม่ค่อยเห็นแสงที่ปลายอุโมงค์เท่าไหร่ เพราะในช่วงนี้เศรษฐกิจไทยก็ขยายตัวได้ต่ำ เนื่องจากแรงขับเคลื่อนที่ยังมีน้อยและจำกัด ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ รายได้ของพวกเราก็ไม่ได้เพิ่มมากนัก การลงทุนก็ดูจะยังซบเซา การส่งออกยังไม่มีวี่แววว่าจะขยายตัวได้มากนักแม้ว่าเงินบาทจะอ่อนค่าลงมามาก ราคาหุ้นก็ตกต่ำลงเกือบทุกวัน และที่สำคัญการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ก็จะเป็นปัจจัยกดดันตลาดไปสักระยะหนึ่ง

ฟังดูเหมือนน่ากลัวใช่ไหมครับ แต่สำหรับผมแล้ว ในเรื่องความน่าสนใจลงทุนถ้าพูดกันที่ระยะเวลา 3-5 ปี ไม่ใช่ช่วง 3-6 เดือนนี้ ผมก็ยังยืนยันว่ามีแสงสว่างอยู่อย่างแน่นอน โครงการลงทุนของภาครัฐบาลในด้านโครงสร้างพื้นฐานยังไงก็ต้องเกิด ทั้งรถไฟสายสีต่างๆ สนามบิน มอเตอร์เวย์ รถไฟรางคู่ หรือแม้แต่รถไฟความเร็วสูงก็ตาม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ในแง่หนึ่งจะเป็นการนำความเจริญ นำความมั่งคั่งไปสู่พื้นที่ต่างๆ หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพก็เห็นประเทศไทยจะมีเส้นเลือดใหม่ที่ดีกว่าเดิม   สามารถนำพาสารอาหารและออกซิเจนไปยังทุกส่วนของร่างกายได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาครับ

ถ้าเรามาดูความคุ้มค่าของราคาหุ้นในขณะนี้ P/E ตลาดไทยปีนี้อยู่ที่ 14.7 เท่า ตามการประเมินของ บล. ธนชาต ถ้าเรากลับเศษส่วนให้เป็น E/P เราก็จะเห็นว่าราคาหุ้นในตอนนี้ให้ผลตอบแทนในรูปกำไรต่อหุ้น (Earning yield) ถึง 6.8% หรือจะดูกันในรูปเงินปันผลที่คาดว่าจะได้ในปีนี้ ก็ประเมินกันว่าน่าจะอยู่ที่ระดับ 3.6% ถือว่าไม่เลวร้ายเลย นอกจากนั้น คาดการณ์กันว่ากำไรของบริษัทในตลาดช่วงปี 2016-2017 จะเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 10-13% ต่อปี ซึ่งน่าสนใจไม่น้อยทีเดียวครับ 

ดังนั้น อีก 2 อาทิตย์ จะหมดเวลาซื้อ LTF สำหรับการใช้สิทธิปีนี้ ในส่วนตัวผมก็ยังแนะนำให้ลงทุนนะครับ การลงทุนในหุ้นช่วงระยะเวลา 3-5 ปี ยังคงมีความน่าสนใจ และดูจะมีแสงสว่างอยู่ครับ