posttoday

หุ้นแกว่งย่ำฐาน ก่อนเหวี่ยงขึ้น

10 พฤศจิกายน 2557

โดย...พิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส บล.ธนชาต

โดย...พิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส บล.ธนชาต

ตลาดหุ้นจะแกว่งย่ำฐานช่วงสั้น หลังราคาหุ้นวิ่งรับข่าวบวกไปมาก ขณะที่ยังมีกระแสความกังวลเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจต่างประเทศที่ชะลอตัวลง รวมถึงผลประกอบการไตรมาส 3 ของบจ.ส่วนใหญ่ยังฟื้นช้า ตามภาวะเศรษฐกิจไทย

อย่างไรก็ดี ภาพระยะปานกลางยังเป็นแนวโน้มขาขึ้น หนุนโดยปัจจัยดังนี้

ประการแรก การผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และญี่ปุ่น (BOJ)

ECB ส่งสัญญาณจะเริ่มซื้อตราสารหนี้ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน (Asset-backed Securities : ABS) ในเร็วๆนี้ โครงการนี้จะดำเนินต่อไปอย่างน้อย 2 ปี ผ่านการซื้อสินทรัพย์ และการปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำระยะยาว (Targeted LTRO) ซึ่งจะส่งผลให้งบดุลของ ECB ขยายตัวอีก 1 ล้านล้านยูโร เป็นราว 3 ล้านล้านยูโร  นั่นหมายความว่า ECB จะฉีดเงินเข้าสู่ระบบเฉลี่ยเดือนละ 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ เป็นเวลา 2 ปี

ก่อนหน้านั้น BOJ ประกาศเพิ่มปริมาณฐานเงินสู่ 80 ล้านล้านเยน (7.24 แสนล้านดอลลาร์) จากเดิมที่ 60-70 ล้านล้านเยน และซื้อพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 30 ล้านล้านเยนต่อปี

ขณะที่กองทุนบำนาญญี่ปุ่นที่มีขนาดสินทรัพย์มูลค่า 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ ประกาศจัดสรรเงินลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นและตลาดหุ้นต่างประเทศ อย่างละ 25% ของเงินทุนทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากสัดส่วนเดิมที่อย่างละ 12%

ผลพวงจากการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมของ ECB และ BOJ ซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกับมาตรการ QE ของเฟด จะส่งผลให้สภาพคล่องในระบบการเงินโลกยังอยู่ในระดับสูงต่อไป เมื่อรวมการปรับพอร์ตของกองทุนบำนาญญี่ปุ่น และธุรกรรมแครี่เทรดดิ้ง จะทำให้เงินไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นในระยะถัดไป

นอกจากนั้น MSCI จ่อเพิ่ม DELTA EA และ TUF ในการคำนวณดัชนี MSCI Global Standard Indexes และเพิ่ม AIRA  EFORL ICHI KTIS PCSGH SAWAD SUPER ในการคำนวณดัชนี MSCI Global Small Cap Indexes มีผล 26 พ.ย. 57

การทบทวนรายชื่อบริษัทที่ใช้คำนวณดัชนี MSCI Global Standard Indexes รอบนี้ บจ.ไทยถูกเพิ่มเข้าคำนวณเป็นจำนวนสูงที่สุดในอาเซียน ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ผู้ลงทุนต่างประเทศสนใจเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น

ประการที่ 2 เศรษฐกิจและผลประกอบการบจ.ไทยมีแนวโน้มฟื้นตัว

แม้เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวเชื่องช้ากว่าที่ตลาดคาดหวัง อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจและผลประกอบการของบจ.จะเร่งตัวขึ้นในปี 58 หนุนโดย 1) มาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ 2) ความคืบหน้าเมกะโปรเจค 3) การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก 4) ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกร่วงแรงสู่จุดต่ำสุดในรอบ 4 ปี และมีแนวโน้มทรงตัวในระดับต่ำต่อไปในปี 58

ราคาน้ำมันที่ลดลงมากส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทย ดังนี้

1) ดุลการค้าจะดีขึ้น เพราะไทยนำเข้าน้ำมันสุทธิ

2) แรงกดดันเงินเฟ้อทั่วโลกที่ต่ำลง เปิดทางให้ธนาคารกลางทั่วโลกตรึงอัตราดอกเบี้ยต่ำได้ยาวนานยิ่งขึ้น

3) ลดภาระภาครัฐในการอุดหนุนราคาน้ำมัน ภาษีน้ำมันที่จัดเก็บได้เพิ่มขึ้น จะช่วยให้มีงบประมาณเพิ่มเติมในการกระตุ้นเศรษฐกิจ

4) การลอยตัวราคาน้ำมันดีเซลในช่วงขาลง ช่วยลดแรงต้านทางการเมือง และส่งผลดีต่อการจัดสรรทรัพยากรในระยะยาว

ดัชนีหุ้นไทยภาพระยะ 3 เดือน มีแนวโน้มแกว่งขึ้น เข้าหายอดเดิมที่ 1,650 จุด และมีโอกาสวิ่งไปสู่ 1,700 จุด ในระยะถัดไป

สัปดาห์นี้ดัชนีหุ้นมีแนวโน้มแกว่งย่ำฐาน บจ.ที่เหลือจะทยอยรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ก่อนถึงเส้นตายในกลางเดือน พ.ย. แม้ส่วนใหญ่จะไม่ดีนักเหมือนเศรษฐกิจ แต่ความคาดหวังถูกปรับลงมาแล้ว ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐและจีนที่ออกมาวันศุกร์ส่งสัญญาณชะลอตัว

ยอดจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 214,000 ราย ต่ำกว่าการคาดการณ์ ส่วนอัตราว่างงานในเดือนต.ค.ร่วงลง 0.1% จากระดับเดือนก.ย. มาอยู่ที่ 5.8% ต่ำสุดในรอบ 6 ปี

ด้านยอดส่งออกจีนเพิ่มขึ้น 11.6% ในเดือนต.ค. ชะลอลงจากที่โตถึง 15.3% ในเดือนก.ย. ส่วนการนำเข้าในเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 4.6% ท่ามกลางความกังขาตัวเลขส่งออกที่ดูสูงเกินจริงในช่วง 2 เดือนหลัง เนื่องจากอาจถูกใช้เป็นช่องทางในการนำเงิน “ฮอตมันนี่” เข้าจีน

พบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ