posttoday

พิงกี้...เปิดใจฉาวสุดในชีวิต

01 กุมภาพันธ์ 2554

“พิงกี้สาวิกา ไชยเดช” 17 ปีในวงการบันเทิง แสงสปอตไลต์จ้องจับตั้งแต่ยังเป็นนักแสดงเด็ก จนไล่ระดับมาถึงจุดสูงสุดคือ “นางเอก” อันดับต้นๆ ของวงการบันเทิงไทย  

“พิงกี้สาวิกา ไชยเดช” 17 ปีในวงการบันเทิง แสงสปอตไลต์จ้องจับตั้งแต่ยังเป็นนักแสดงเด็ก จนไล่ระดับมาถึงจุดสูงสุดคือ “นางเอก” อันดับต้นๆ ของวงการบันเทิงไทย  

เรื่อง เสน่ห์จันทร์ ภาพ วิศิษฐ์ แถมเงิน

 

พิงกี้...เปิดใจฉาวสุดในชีวิต

“พิงกี้สาวิกา ไชยเดช” 17 ปีในวงการบันเทิง แสงสปอตไลต์จ้องจับตั้งแต่ยังเป็นนักแสดงเด็ก จนไล่ระดับมาถึงจุดสูงสุดคือ “นางเอก” อันดับต้นๆ ของวงการบันเทิงไทย ทว่าไม่มีช่วงเวลาไหนที่เธอจะกลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์สนั่นเมือง ผู้คนทุกแขนงต่างได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างเป็นมือที่สาม ที่ทำให้สถาบันครอบครัวของคนอื่นสั่นคลอน ซึ่งแรงสั่นสะเทือนส่งผลสะท้อนกลับถึงตัวเธอเองด้วยเมื่อกระทบต่อชื่อเสียงและหน้าที่การงาน

ปีที่แล้วเรียกว่าเจอมรสุมชีวิตอย่างหนัก แต่เข้าปีนี้พิงกี้เปิดใจพร้อมรอยยิ้ม “ลำบากแค่ปีที่แล้วนี่ละ ลำบากกว่านั้นไม่มีอีกแล้ว กี้คิดว่าเป็นคราวเคราะห์จริงๆ หมอดูทักหลายรายจะดีขึ้นแล้วคะ ปีที่แล้วเขาทักว่าเป็นมฤตยู เพชฌฆาต ราหูอม ปีนี้บอกว่าจะดีมากเรื่องงาน ต่างประเทศ ความรักไม่ได้ถามถึง เขาไม่บอกด้วยเพราะว่ามันชัดเจนในเรื่องงานมากกว่า รุ่งเรื่องงาน หลัง 4 ก.พ.เป็นต้นไปคะ ก็รอดูว่าจะเป็นเรื่องอะไร”

เป็นข่าวแรงข้ามปี พิงกี้เองก็ผลุบๆ โผล่ๆ ออกมาแถลงไขกับประเด็นร้อนฉ่าตามงานอีเวนต์ ซึ่งเรื่องราวของเธอก็ยังวกวนอยู่กับเรื่องเดิมๆ ไม่มีอะไรคืบหน้า “ก็มีหลายความคิดว่าออกงานอีเวนต์เพราะกระแส หรือบอกว่าเป็นเพราะไม่มีงาน ก็แล้วแต่ว่าคิดไง กับพี่ก้อง (ปิยะ เศวตพิกุลผู้จัดอีเวนต์) ก็เรียกใช้ตลอดอยู่แล้ว เพราะเขาเห็นว่าเราเรียกทำงานง่าย ดาราก็จะมีกระแสดีไม่ดีก็ตอบๆ ไป ก็พยามไม่กระทบใครให้มากที่สุด”

ทุกครั้งก่อนออกงานพิงกี้จะมีการเตรียมตัวเตรียมใจเตรียมคำพูดพร้อมตอบคำถามซึ่งก็มีคุณแม่เป็นกุนซือคอยช่วยเหลืออยู่ตลอดอยู่แล้วตั้งแต่เข้าวงการมา แต่ครั้งนี้เรียกว่าต้องปิดห้องติวเข้มกันอย่างหนัก “เหนื่อยมาก เป็นอะไรที่เครียดมาก ทุกครั้งที่ตอบ คำพูดคนเรามันเซนซิทีฟนะ จะพูดยังไงไม่ให้กระทบใคร แล้วเวลาใครคนอื่นพูดมาเราก็ต้องมาตอบแทนอีก ทั้งๆ ที่ แมสเสจที่เขาส่งไปอาจจะไม่ใช่แบบนั้นก็ได้ เช่น ทางผู้ใหญ่ตอบ แล้วพอมาพูดกับเรากลับพูดอีกเรื่อง เลยต้องตั้งสติ (พิงกี้หยุดพร้อมถอนหายใจก่อนตอบอีกครั้ง) แต่นี่มันทั้งปีมาแล้วในเรื่องเดิม ก็ได้ฝึกวิทยายุทธในการตอบคำถามตั้งแต่ระดับต่ำถึงสูง คุณแม่ก็บอกว่าให้ตั้งสติ แต่บางทีเจออะไรกดดันมากๆ ก็ตั้งสติไม่ไหว บางทีเจอคำถาม (เงียบ..ก่อนส่ายหน้า) อะไรก็ช่างมันเถอะ ไม่มีอะไรแย่กว่านี้อีกแล้ว แย่ที่สุดแล้ว”

พิงกี้เจอนักข่าวมาตั้งแต่เด็กจนโตแต่ทุกวันนี้มีบางความรู้สึกในการทำงานที่ไม่เหมือนเดิม “สมัยนี้สื่อเยอะ การออกผลิตผลงานมันก็ออกเป็นรายวัน ฉะนั้นอะไรที่แรง ชัด ลึกเต็มๆ เนี่ย คนสนใจ ดีก็อาจไม่ดีได้ คนที่โดนสถานการณ์นั้นๆ มันกดดันนะ เรารู้สึกว่าอยากอยู่เงียบๆ คนเดียวบางทีเบื่อที่ต้องตอบ แต่เราเป็นดาราก็รู้สึกว่ายังไงก็ต้องตอบ บางคำถามที่ไม่คิดว่าน่าถาม อะไรที่มันผ่านอย่าไปฟื้นฝอยหาตะเข็บ

อะไรที่ดีๆ ก็ถามให้เราได้กำลังใจที่ดีบ้าง ก็มีหลายคนทีดีนะ คำถามก็เข้าใจว่าต้องถามแรงเพื่อให้เราตอบให้คนสนใจ เราต้องเข้าใจว่าสื่อสมัยนี้เยอะ มีหลายสื่อมาก คำถามต่างกัน ยิงมาเราก็ตอบ เตรียมตัวจากบ้านจนนอนไม่หลับก็มี ตื่นเต้น ยังไงๆ เราก็ยังขี้อาย เป็นคนธรรมดา เราก็ยังตื่นเต้น จะขึ้นคอนเสิร์ตก็ยังตื่นเต้น (กี้ต้องหาเรื่องเปลี่ยนประเด็นไหม?) ทุกคนก็บอกให้กี้มีแฟนซะ แต่เราก็ไม่ได้รีบมีแฟน แต่ถ้ามีเดี๋ยวก็หาว่าเปลี่ยนแฟนเร็วจัง อยู่เงียบๆ ดีแล้วกับแม่”

นับว่าเป็นช่วงชีวิตที่เจอข่าวร้ายแรงที่สุด… เป็นคำถามที่พิงกี้รีบตอบเสียงดังขึ้นมาทันที “ร้ายแรงมหันตภัยเลย ชีวิตคนเราไม่แน่นอน คนบางคนอาจตกระกำลำบากทีไหนก็ได้ทั้งที่มีชีวิตที่ดี อันนี้ไม่ได้พูดถึงตัวเรานะ แบบอนาคตไม่แน่นอนเรารู้ว่าเป็นลูกกตัญญูของพ่อแม่ ทำงานเลี้ยงดูพ่อแม่ มันอาจจะมีอะไรที่ไม่ดีบ้างก็แล้วแต่ มันผ่านไปแล้วเราได้พูดได้ชี้แจง ต่อไปก็มุ่งหน้าทำงาน จะให้มาย้ำเรื่องเดิมๆ ก็ โอโฮ้ มันมีวันจบนะ มันก็เป็นสัจธรรมว่าคนเรา ไม่รู้นะ คนล้ม กี้ล้มเลยละ ยอมรับ เหมือนตายไปเลย ปึ้งไปเลย อันนั้นอันนี้มาเต็มไปหมด แล้วเจอเหยียบอีก สื่อก็ทำให้เรื่องราวไปเยอะด้วย เป็นข้อพิพาทค่อนข้างจะส่วนตัวนะ การที่เงียบไม่พูด เราก็ถือว่าเราอยากให้จบ ถ้าเราพูดปุ๊บมันเสียหายหมดเลย ”

ตอนนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีทั้งคนรักและคนชัง พิงกี้จะทำอย่างไรต่อไปกับอนาคตในวงการบันเทิง “ก็ต้องใช้เวลา ก็เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ ทำงานๆๆ ผู้ใหญ่ยังให้โอกาส ไม่ว่าจะเป็นนายประวิทย์ (ช่อง3) อยากให้กลับไป ผู้ใหญ่หลายคนอยากให้กลับมา มีทั้งที่ไปเจอกับไม่ได้ไปเจอ แต่ก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกับเรามาก เป็นคนที่ไปโน้นก็ไม่อยากให้อยู่ ไม่รู้ว่าด้วยจุดประสงค์อะไร ต้องการอะไรที่ทำอย่างนั้น

เราเป็นคนเงียบ เราไม่ได้เป็นคนพูดอะไรอยู่แล้ว อยากทำหน้าที่ให้ดีที่สุด มีคนที่เรารักอยู่ข้างๆ เรา กี้คิดว่าทุกคนควรจะจบเรื่องนี้ได้แล้ว ไม่นั้นก็ต้องมีคนกลุ่มนี้มาทำไมอย่างโน้นนี้ พอเราพูดเรื่องงานเขาก็บอกว่าจะมีคนเอาหรอ แล้วมันจะมีอะไรดีไหมเนี่ย คุณคิดแต่เรื่องที่แบบว่า...(พิงกี้ละคำพูดไว้) ก็จะย้ำให้กี้เป็นอยู่อย่างนั้น ให้เป็นให้ได้ พอเราจะเริ่มทำก็จะมีมาอีกล่ะ มันนานไปแล้วไง อย่างข่าวเรื่องคนอื่นก็จบ อันนี้นานไปแล้ว เราพยายามไม่พูดเพื่อให้เรื่องจบ”

 

พิงกี้...เปิดใจฉาวสุดในชีวิต

พิงกี้ใช้ชีวิตยังไงในช่วงที่มีข่าวแรงๆ “ชีวิตเหมือนละคร ชีวิตดาราในหนังมันคือเรื่องจริงแล้ว ส่วนคนอื่นก็ปกติ เราก็เห็นทุกคนยิ้มให้กำลังใจ ถามว่าเมื่อไหร่จะกลับมา เพราะมันเป็นเรื่องที่ปากหนึ่งปากสอง เยอะไป คนเรารู้ผิดชอบชั่วดีนะ จะทำอะไรก็มีครอบครัวคอยดูแลอยู่แล้ว ไม่ทำไม่ดีหรอก ฉะนั้นคนที่เขายิ้มให้เรา คนต่างจังหวัดก็ยังถามว่าเมื่อไหร่จะเล่น สายตาที่มองไม่ดีเราไม่เห็นคนก็คงไม่มองแบบนั้นหรอก เขาก็มองเราดีในสายตาเรานะ เพื่อนในวงการยังดีเหมือนเดิม หนูไม่ได้ฆ่าใครตาย ไม่มีใครอะไรหรอกค่ะ คนเราเจอมากกว่านี้มีเยอะ แต่แค่ไม่ได้เป็นเราเท่านั้นเอง คนที่มีความคิดก็เข้าใจว่าเป็นไง”

นอกจากงานแสดงที่อินเดียแล้ว ในเมืองไทยพิงกี้ยังได้เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม BriteUp ซึ่งเป็นการร่วมงานกับ “ยุวดี บุญครอง” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย โปรดักส์ อินโนเวชั่น “ก็ยังมีงานให้ทำอยู่ตลอด โฆษณาก็ไม่ได้ถูกปลดอะไร มันหมดไปตามเงื่อนไขสัญญา แต่ตอนนี้ก็มีเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้กับ BriteUp แล้วก็ร่วมธุรกิจแต่ในลักษณะไหนต้องให้ผู้ใหญ่บอกอีกที จริงๆ แล้วกี้ก็สนใจที่จะมีผลิตภัณฑ์ของตัวเอง แต่มีหลายอย่างทำงานปกติแล้วไม่มีเวลาว่าง ก่อนหน้านี้ถ่ายละครตลอด ช่วงนี้มีเวลาและประจวบเหมาะกับพี่ยุก็รู้จักกันนานแล้ว ก็คุยกันเขาก็ให้ลองกินตัวนี้นะ ลองแล้วเรารู้สึกว่ามันดี เราก็เลยลองเปิดสินค้าตัวนี้ไบร์ทอัพเป็นสินค้าผลิตในเมืองไทยเอง”

ส่วนผลิตภัณฑ์แบรนด์ของตัวเองพิงกี้บอกว่า มีความสนใจแต่ภาวะเศรษฐกิจตอนนี้ไม่เหมาะกับการลงทุน “ตอนนี้คงไม่ทำอะไร ต้องดูเศรษฐกิจ เรามองด้านอินเตอร์มากกว่า ด้านการขายต่างประเทศ เราเห็นอินเดียเขาชื่นชอบอะไรที่เป็นเมด อิน ไทยแลนด์ เขาก็ยอมรับ อย่าง BriteUp ตัวนี้ก็ไปอินเดียได้ คาดว่าคนอินเดียก็คงอยากสวยเหมือนเรา เราก็อยากผิวขาวสวยนวลเนียนอมชมพู เขาก็อยากเหมือนกัน อย่างสินค้าเราก็ไปคุยกับรัฐบาล เป็นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ระหว่างเอนเตอร์เทนเมนต์กับเอ็กพอร์ต เป็นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โครงการนำร่อง เหมือนไทยกับอินเดียนำสินค้าไป ผนึกกำลังกัน ทางกระทรวงพาณิชย์ก็มองว่าในอนาคตไทยกับอินเดียเป็นตลาดที่สำคัญ ซึ่งก็ตรงกับเราที่เราถ่ายหนังแล้วมีสินค้าไปด้วย”

จากข่าวค(ร)าวส่งผลให้งานด้านการแสดงในเมืองไทยของพิงกี้มีปัญหา แต่ล่าสุดค่ายกันตนาร่วมกับโมเดิร์นไนน์ทีวีจะสร้างละครเรื่องอิเหนา พิงกี้มีรายชื่อติดโผ แต่ยังนับเป็นลูกผีลูกคน เพราะถ้าผู้ใหญ่จากช่องไม่ออกมาการันตีว่า เธอคือหนึ่งในแสดง นั่นก็ยังไม่มีความวางใจใดๆ

“ต้องให้ผู้ใหญ่ชี้แจงอีกที เรื่องความชัดเจน แต่นี่ไงคนล้มอย่าข้าม คนเรามันก็มีสิ่งที่ดีๆ เวลาจะพิสูจน์ว่าเราเป็นนักแสดง เรามีงานนะ เราเลี้ยงดูพ่อแม่ เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ออกความเห็นมากไม่ได้ หนูไม่รู้จะตอบว่าไง ”

สภาพจิตใจในตอนนี้พิงกี้บอกว่า โอเค “ไม่มีร้องไห้เพราะไม่มีเวลาตอนที่ข่าวหนักๆ ต้องท่องบทอินเดีย มีร้องไห้ครั้งเดียวตอนนั้นที่สัมภาษณ์กับสื่อช่วงแรกๆ แต่ตอนนี้ชินแล้วทุกอย่างมันเกิด มันก็จะมาอีกล่ะ เรื่องคลิป เราก็โอ้ยเราก็ไม่ได้ทำอะไรนะ มันดูแบบแย่ กี้ไม่อยากกระทบใครนะ ไม่มีอะไรดี จะเอาออกมาทำไม ดูเสียหายไปหมดไม่ว่าใคร (เรื่องนี้ทำให้ให้เสียใจที่สุดไหม?)

เหนื่อย ไม่เสียใจ มรสุมน่ะ ตอนนี้แฮปปี้ดี (แม่ช่วยย้ำด้วยว่าแฮปปี้)พอกี้บอกว่าเราล้ม มันจะมีสักวันที่เราะแข็งแกร่งขี้นมา ตอนนี้เราเฉยๆ เรามีละคร เราเป็นนักแสดง เรามีอาชีพ อาจจะมีเรื่องอะไรบางอย่างที่ไม่เกี่ยวกับงานเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องเจอก็อาจจะมีบ้าง มันแยกแยะส่วนตัวกับทำงาน แต่ใครคิดไรก็ห้ามไม่ได้ เราก็ทำต่อไป แต่คนเราก็ชอบเอาเรื่องส่วนตัวไปผสม ในเมืองนอกดาราเรื่องส่วนตัวมันแยกแยะ”

ขอขอบคุณ เซน คูซีน่า เซ็นทรัลเวิล์ด เอื้อเฟื้อสถานที่