โลกป่วยคนแปลก ณ ดินแดน (สัตว์) ประหลาด
คงไม่เกินไปนัก ถ้าจะบอกว่านี่คือหนังเซอร์ไพรส์แห่งปี และบางทีอาจเป็นหนังดีของใครอีกหลายคนก็เป็นได้ (รวมเราคนหนึ่งด้วยอ่ะ)
คงไม่เกินไปนัก ถ้าจะบอกว่านี่คือหนังเซอร์ไพรส์แห่งปี และบางทีอาจเป็นหนังดีของใครอีกหลายคนก็เป็นได้ (รวมเราคนหนึ่งด้วยอ่ะ)
โดย... วิชช์ญะ ยุติ
คงไม่เกินไปนัก ถ้าจะบอกว่านี่คือหนังเซอร์ไพรส์แห่งปี และบางทีอาจเป็นหนังดีของใครอีกหลายคนก็เป็นได้ (รวมเราคนหนึ่งด้วยอ่ะ)
ทุนต่ำต้อยเพียง 1.5 หมื่นเหรียญสหรัฐนั้น กลับไม่ใช่ปัญหาสำหรับหนังไซไฟเรื่องนี้ รวมถึงทีมงานแค่หยิบมือเดียวกับนักแสดงโนเนม ก็สามารถทำลายประตูหนาที่ถูกสลักด้วยคำถามต่างๆ นานา (จะเข้าท่าไหมหนอ มีดีแค่เทรลเลอร์ชัวร์ เนื้อหาก็งั้นๆ ละมั้ง) ลงได้ด้วยการพิสูจน์ให้ทุกคนประจักษ์แล้วว่า Monsters น่ะไม่ใช่สัตว์ประหลาดกลวงๆ หรือเน้นขายวิชวลเอฟเฟกต์เลอะเทอะสักนิด
ตรงกันข้าม ความหนักแน่นด้านบทก็เข้มข้นกินใจเหลือร้าย คล้ายจะเป็นการเล่นกับปมในใจของผู้คนที่มีต่อสัตว์ประหลาด โดยทิ้งคำตอบอย่างแยบยลผ่านสัญลักษณ์ที่ค่อยๆ ทยอยปรากฏโฉมหน้าออกมา อาทิ คนแปลกหน้า กำแพงกั้นพรมแดนระหว่างสหรัฐกับเม็กซิโก หน้ากากกันแก๊สพิษ เขตติดเชื้อ และเจ้ามอนสเตอร์ (หน้าตาละม้ายหมึกพอลผู้ล่วงลับซะงั้น)
“กาเร็ธ เอ็ดเวิร์ดส” ผู้เขียนบทและควบเก้าอี้ผู้กำกับ มีความชัดเจนในแนวทางหนังของตัวเองพอสมควร แม้จะเป็นหนังไซไฟเต็มขั้น ทว่าเขากลับให้ความเป็นดรามานำหน้า และนำทางคนดูไปร่วมทริปผจญภัยเพื่อค้นหาความหมายที่แท้จริงของคำว่า Monsters
2 ตัวละครหลักที่เป็นเสมือนตัวแทนคนแปลกหน้าที่ต้องโคจรมาเจอกันเพราะเหตุการณ์เสี่ยงตาย “แอนดรูว์” “ซาแมนธา” ถ่ายทอดอารมณ์โดย “สคูต แม็กไนรี” และ “วิตนีย์ เอเบิล” เรียกว่าเหนือความคาดหมายจริงๆ ทั้งคู่ทำให้หนังเต็มไปด้วยความพิศวงงงงวย และเอาคนดูอยู่หมัด ขณะเดียวกันยังเก็บรายละเอียดชีวิต ที่แม้พวกเขาจะมีความแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่ก็เป็นเรื่องราวที่โคตรเศร้าเหงาจับจิต ที่สำคัญมันใกล้ชิดจนทุกคนสัมผัสได้ในความรู้สึก
บทสนทนาที่คมคายกลายเป็นจุดพลิกผันให้หนังน่าสนใจยิ่งขึ้น 2 ตัวละครมีการถกกันในหลายๆ ประเด็น ตั้งแต่สื่อที่ไร้จริยธรรมโดยหากินบนความตายของคนอื่น การแต่งงานที่ล้มเหลว และงานวิวาห์ที่จะเริ่มต้น อนาคตนับจากวันที่ไปยืนอยู่บนผืนดินบ้านเกิด เรื่อยกระทั่งถึงหน้าที่นักพยากรณ์อากาศ อาชีพที่สามารถทำผิดได้บ่อยๆ โดยไม่มีใครไล่ออก น่าคิดและน่าขันว่าหนังเล็กจิ๋วเรื่องนี้ถากถางได้อย่างแสบสันจนอดสะท้อนใจไม่ได้ เพราะทุกสิ่งมันคือความจริงของโลกป่วยใบโตที่มีแต่ความวุ่นวายและหายนะให้ปวดหัวไม่สิ้นสุด
โปรดักชันเล็กๆ บ้านๆ ที่แทบจะไม่ได้เซตอะไรกันเยอะแยะ ก็เจ๋งสุดๆ ผู้กำกับที่กล้าแหกหลักสูตรทำหนังแบบไม่ง้อสตูดิโอดัง ทำให้คุณค่าหนังอินดี้ดูสูงส่งขึ้นมาทันควันโดยไม่ต้องพึ่งฉากทำลายล้าง แต่เขากลับเลือกจะนำเสนอมุมมองกล้องที่เคลื่อนไปจับวัตถุจนสร้างความประหลาดใจยิ่งนัก บางฉากงดงามราวภาพนิ่งที่ครบถ้วนด้วยองค์ประกอบศิลป์ แสงเงาที่กลมกลืนและกลมกล่อม นอกจากนั้นการลำดับเหตุการณ์ถือว่าทำได้ดีเชียวล่ะ หนังพาคนดูให้รู้สึกหวาดหวั่นด้วยบรรยากาศอันลึกลับอึมครึม ผสานเสียงกรีดร้องของบางสิ่ง และเศษซากปรักหักพังของตึกรามบ้านช่อง
ขอชื่นชม กาเร็ธ เอ็ดเวิร์ดส ที่รู้จักใช้สอยของที่มีอยู่ได้เต็มประสิทธิภาพ โลเกชันในหนังที่ให้ความรู้สึกย่อยยับเพราะเพิ่งโดนเอเลียนถล่มยังไงยังงั้นเลย จากข้อมูลที่รู้มา มันคือสภาพบ้านเรือนประชาชนที่เพิ่งโดนพายุเฮอริเคนถล่ม ซึ่งผู้กำกับตามไปถ่ายโดยให้ 2 นักแสดงเล่นไปตามบท ถ้าใครดูหนังรับรองต้องอินกับมันสุดๆ ในความสมจริงสมจัง
หรือไม่อะไรมากมาย ก็ลองให้ กาเร็ธ เอ็ดเวิร์ดส เป็นแรงบันดาลใจสำหรับการจะเริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง จากเรื่องน้อยนิดแต่ซ่อนนัยไว้มหาศาล เพื่อรอผลลัพธ์อันเซอร์ไพรส์ตอบรับกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ เช่นที่เขาทำสำเร็จบนเวที British Independent Film Awards 2010 ด้วยการพาผลงานเรื่องยาวเรื่องแรกคว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม (ชนะหนังเต็งหามที่เล่าเรื่องพระเจ้าจอร์จที่ 6 ติดอ่าง The King’s Speech) ทั้งยังเป็นแชมป์ในสาขาออกแบบงานสร้างยอดเยี่ยมและเทคนิคยอดเยี่ยม
และคงไม่เกินไปนักถ้าจะบอกว่า Monsters อาจไปไกลกว่าที่คิด เหมือนกับผลงานทุนต่ำหลายๆ เรื่องที่เคยสร้างปรากฏการณ์ผู้คนขานรับล้นหลาม อาทิ หนังเอเลียนอนาถา District 9 (นีลส์ บลอมแคมป์ กำกับ) หนังเสพติดสงคราม The Hurt Locker (แคทธารีน บีเกโลว์ กำกับ) หนังรักแวมไพร์เด็ก Let the Right one In (โทมัส อัลเฟร็ดสัน กำกับ) หนังหม่นคนดำ Precious (ลี แดเนียลส์ กำกับ)
เผลอๆ หนังสัตว์ประหลาดเรื่องนี้อาจเตะตากรรมการออสการ์จนมีชื่อติดโผชิงก็เป็นไปได้ทั้งนั้น ใครจะรู้?