posttoday

แด่...ความฝัน ที่กลายเป็นความจริง

11 มิถุนายน 2559

เราทุกคนมีความฝัน แต่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถทำความฝันให้กลายเป็นความจริงได้ บางคนแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้น

โดย...ตุลย์ จตุรภัทร ภาพ... ทวีชัย ธวัชปกรณ์

เราทุกคนมีความฝัน แต่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถทำความฝันให้กลายเป็นความจริงได้ บางคนแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้น บางคนออกเดินทางแล้วต้องพบกับความผิดหวัง บางคนเกือบจะทำได้สำเร็จ แต่ก็ยังมีใครอีกหลายคนที่สามารถทำความฝันของตัวเองให้กลายเป็นความจริงได้ในท้ายที่สุด

แน่นอนว่า บุคคลที่ได้ออกเดินทางเพื่อทำความฝันให้กลายเป็นความจริง และสามารถทำได้สำเร็จ ย่อมมีเรื่องราวชีวิต รวมทั้งมุมมองความคิดที่น่าสนใจอยู่มิใช่น้อย บิ๊ก-กฤษฎา จันทร์ดี วัย 25 ปี จาก จ.เชียงใหม่ แชมป์ เดอะ สตาร์ ซีซั่น 12 และ ตะวัน-จิรัชญา เกตุคง วัย 20 ปี จาก จ.ลพบุรี แชมป์เอเชีย เน็กซ์ ท็อป โมเดล ซีซั่น 4 คือบุคคลเหล่านั้น!

บิ๊กดรีม ของผู้ชายชื่อบิ๊ก

หลังจากจบรายการ เดอะ สตาร์ ซีซั่น 12 เมื่อปลายเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ผลงานแรกของ บิ๊ก-กฤษฎา จันทร์ดี แชมป์ เดอะ สตาร์ คนที่ 12 ของเมืองไทย คือการได้เป็นแขกรับเชิญในคอนเสิร์ต บี้ สุกฤษฎิ์ Love 10 ปีไม่มีหยุด ของ บี้-สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว นั่นเอง “วันนี้และวันพรุ่งนี้แล้วครับ ที่ผมจะได้พบกับแฟนคลับของผม ของเพื่อนๆ เดอะ สตาร์ 12 คนอื่นๆ และของพี่บี้ในคอนเสิร์ตใหญ่นี้ ตื่นเต้นมาก แต่ก็พร้อมเต็มที่ รับรองว่าแฟนๆ จะได้ชมความบันเทิงในสไตล์ของผมบนเวทีคอนเสิร์ตนี้อย่างแน่นอน ส่วนงานเพลงต้องรอไปก่อนครับ คาดว่าจะเริ่มทำหลังจากจบคอนเสิร์ตนี้”

กฤษฎาบอกเล่าว่า เขาเป็นคน อ.หางดง จ.เชียงใหม่ แต่เรียนที่โรงเรียนใน จ.ลำพูน เพราะเดินทางไปเรียนที่นั่นสะดวกกว่า “เมื่อเรียนจบ ป.6 ผมก็บวชเณร ซึ่งนอกจากจะเรียนหนังสือไปด้วย ผมก็ยังได้ฝึกการเทศน์ทางเหนือ คล้ายๆ การแหล่ ที่นำไปใช้ในงานธรรมเทศนา และงานฌาปนกิจศพ ทำให้ได้ฝึกการร้องการใช้เสียงไปในตัวด้วย บวชเรียนได้ 5 ปี ผมก็สึก เพื่อออกมาเรียนเป็นเรื่องเป็นราวจนจบมหาวิทยาลัย ระหว่างนี้ผมก็ฝึกเล่นกีตาร์และหาเงินด้วยการเล่นดนตรีตามงานต่างๆ ครับ ไม่ว่าจะเป็นงานบวช งานแต่ง งานขึ้นบ้านใหม่ งานรำวง โดยผมเริ่มจากเป็นเด็กยกของ จนได้มาเล่นกีตาร์และร้องเพลง”

แด่...ความฝัน ที่กลายเป็นความจริง

 

กฤษฎาเผยว่า การได้เล่นดนตรี คือความสุขและความสนุกของชีวิต แม้จะไม่ได้รับค่าตอบแทนมากมาย “ผมได้รับค่าตอบแทนครั้งแรก 50 บาท โดยแนวเพลงที่ผมเล่นในช่วงนั้นคือแนวเพลงลูกทุ่ง ถามว่าผมเคยมาประกวดในรายการเดอะ สตาร์ มั้ย เคยมาตอนซีซั่นที่ 6 ครับ ซึ่งตอนนั้นผมเรียนอยู่ปี 1 ผมรู้ตัวว่าตอนนั้นมาประกวดด้วยความไม่พร้อมอะไรเลย แค่อยากลองหาประสบการณ์ดู ก็ตกรอบแรกไปตามระเบียบ (หัวเราะ) จากนั้นก็หันมาเล่นกีตาร์อย่างเดียว จนเรียนจบ ผมก็หางานประจำทำ แต่ก็ยังรับจ๊อบเล่นกีตาร์เป็นงานๆ ไป พอช่วงเข้าพรรษา เป็นอันรู้กันว่าช่วงเวลานี้จะงดจัดงานรื่นเริง ผมเลยหันมาเล่นดนตรีในร้านกลางคืน ซึ่งผมต้องช่วยเพื่อนๆ ในวงร้องเพลงไปด้วย แต่ไม่ได้ร้องคนเดียวนะครับ ก็สลับๆ กับเพื่อนๆ คนอื่นๆ ไป”

อย่างที่มีคนพูดไว้ เมื่อมันถึงเวลาของเรา ก็คือถึงเวลาของเรา กฤษฎาได้ตัดสินใจส่งคลิปร้องเพลงและโซโลกีตาร์มาประกวดในรายการ เดอะ สตาร์ 12 เพราะอยากทำความฝันของตัวเองให้กลายเป็นความจริง “ประจวบกับที่บ้านที่ทำธุรกิจโคมลอยต้องประสบปัญหา ผมจึงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ครอบครัวดีขึ้น หลังจากส่งคลิปเข้าประกวด ทางรายการก็ติดต่อมาว่าให้มาออดิชั่นที่กรุงเทพฯ พอผ่านเข้ารอบมาเรื่อยๆ ก็เริ่มรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ผมจึงต้องมีการเตรียมตัว หาข้อมูล วางแผน ทำการบ้านมาอย่างดี เพื่อที่จะทำโชว์ต่างๆ ให้ดีที่สุด จนได้เข้ารอบ 8 คนสุดท้าย”

เมื่อต้องเข้าบ้าน เดอะ สตาร์ และเข้าสู่การแข่งขันอย่างแท้จริง กฤษฎาเผยว่า เขาโชคดีที่มีครอบครัวคอยช่วยเหลือ และมีผู้หลักผู้ใหญ่หลากหลายท่านได้เอ่ยปากสนับสนุนอย่างเต็มที่ ทำให้เขาอุ่นใจว่าการแข่งขันในครั้งนี้จะไม่ได้เป็นการแข่งขันที่โดดเดี่ยวมากจนเกินไปนัก “เมื่อเข้ามาในบ้าน เดอะ สตาร์ ก็ต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนๆ พี่ๆ ทีมงาน แต่ก็ไม่ได้ยากลำบากอะไร ผมเป็นคนเฟรนด์ลี่ขี้เล่น ซึ่งตลอดการแข่งขัน บอกเลยว่าแต่ละสัปดาห์มีเวลาซ้อมร้องเพลงน้อยมาก เพราะต้องออกไปทำกิจกรรมอื่นๆ ด้วย แต่ผมก็สู้เต็มที่กับการทำโชว์ครับ”

กฤษฎาเผยว่า ความโชคดีอย่างหนึ่งของเขาคือ ตั้งแต่ประกวดมา เขาไม่เคยได้ยืนจับมือกับเพื่อนอีกคน เพื่อลุ้นว่าใครจะได้ไปต่อหรือไม่ได้ไปต่อ พอมีโอกาสได้จับมือ ก็เป็นการจับมือเพื่อลุ้นว่าใครจะได้เป็นเดอะ สตาร์คนที่ 12 ของเมืองไทย ในสัปดาห์สุดท้ายไปเลยคราวเดียว “ตอนประกาศว่าเป็นผมที่ได้เป็นเดอะ สตาร์ มันช็อกไปเลยครับ จากที่เคยดูปีก่อนๆ แล้วสงสัยว่า ทำไมคนที่ได้ถึงตื่นเต้นดีใจกันขนาดนั้น แต่พอมาเป็นตัวเอง มันยิ่งกว่าตื่นเต้นดีใจเสียอีก มันคุ้มค่าต่อการที่เราต่อสู้กับตัวเองมาโดยตลอด ผมคิดว่าที่ผมได้เป็นเดอะ สตาร์ น่าจะมาจากช่วงมินิคอนเสิร์ต ที่ใครหลายคนพูดถึง โดยเฉพาะเพลงไม่เป็นไร ที่ผมแต่งเอง มันเป็นเพลงที่ผมแต่งขึ้นเพื่อประกวดโฟล์กซองที่มหาวิทยาลัย ซึ่งก็ได้ที่ 1 ครับ ซึ่งตั้งแต่ผมเริ่มแต่งเพลงมา ก็แต่งได้กว่า 10 เพลงแล้ว ผมแต่งเพลงได้หลากหลายแนว ซึ่งก็คาดหวังว่าเพลงนี้และเพลงที่ผมแต่งมาจะเข้าตาผู้ใหญ่ จะได้นำมาทำเป็นผลงานเพลงจริงๆ ในสักวันหนึ่งครับ”

แด่...ความฝัน ที่กลายเป็นความจริง ภาพ : อินสตาแกรม tawanjiratchaya

 

ตะวัน...ผู้ฉายแสงงาม

จากสัปดาห์แรกของการแข่งขันรายการเอเชีย เน็กซ์ ท็อป โมเดล ซีซั่น 4 ตะวัน-จิรัชญา เกตุคง สาวไทยหนึ่งในผู้เข้าแข่งขัน สามารถทำภารกิจถ่ายภาพในลูกบอลโปร่งใสทรงกลมขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่กลางอากาศได้เป็นที่น่าพอใจ สัปดาห์ต่อมา จิรัชญาต้องถ่ายภาพขณะที่กำลังกระโดดบนแทรมโพลีน โดยจะต้องแสดงออกถึงท่วงท่าที่สง่างาม ซึ่งเธอทำผลงานออกมาไม่ดีมากนัก และสัปดาห์ที่สาม เธอจึงฮึดสู้ โดยทำภารกิจทำทรงผมสองลุค และเลือกภาพมาสี่ช็อต โดยมีเวลาแค่ 20 นาทีเท่านั้นได้เป็นที่น่าพอใจ

พอมาถึงสัปดาห์ที่สี่ นี่ถือเป็นสัปดาห์ทองของจิรัชญา เธอได้ใส่ชุดราตรียาว นั่งในรถยนต์ที่ขับมาด้วยความเร็วสูงและหมุนตัวอย่างแรง ก่อนจะลงมาโพสท่าเพื่อแสดงถึงความสมดุลของร่างกายและความพลิ้วไหวของชุด โดยเธอได้รับคำชมว่ามีโหนกแก้มที่สวย และดูดี มีเสน่ห์เย้ายวนใจ ทำให้ได้รับคะแนนสูงสุด รวมไปถึงได้สิทธิคุ้มกันไม่ให้ถูกคัดออกในสัปดาห์ต่อไป และได้เป็นตัวแทนสินค้าคนใหม่ของรถยนต์ที่สนับสนุนรายการอีกด้วย

อะไรก็เกิดขึ้นได้ ในสัปดาห์ที่ห้า จิรัชญาต้องทำให้กรรมการผิดหวังกับภาพถ่ายในสไตล์อิทเกิร์ล แต่สัปดาห์ต่อมา เธอก็ได้รับคำชมในเรื่องการแสดงออกทางสีหน้าที่ดูแข็งแกร่ง กับการถ่ายภาพบนเรือที่ลอยไปในแม่น้ำ โดยจะมีตัวเมืองสิงคโปร์เป็นฉากหลัง พอมาถึงสัปดาห์ที่เจ็ด เธอก็ยังทำให้กรรมการชื่นชอบพลังงานในภาพของเธอ ซึ่งเธอทำออกมาได้จริงใจ กับการถ่ายแบบร่วมกับนายแบบชื่อดังของอินโดนีเซีย และสัปดาห์ที่แปด เธอก็ได้รับคำชมว่าการแสดงของเธอดูโดดเด่น และดูสง่างาม กับการถ่ายมิวสิควิดีโอ

แด่...ความฝัน ที่กลายเป็นความจริง ภาพ : อินสตาแกรม tawanjiratchaya

 

ในสัปดาห์ที่เก้านี้ จิรัชญาต้องทำภารกิจถ่ายภาพบิวตี้ช็อตที่ต้องใส่ชุดว่ายน้ำ และถูกสาดน้ำใส่ในระหว่างถ่ายภาพ โดยเธอได้ตกเป็นสองคนสุดท้าย เพราะกรรมการผิดหวังกับผลงานของเธอ แต่เธอก็สามารถผ่านเข้าสู่สัปดาห์ที่สิบไปได้ และก็ไม่ทำให้กรรมการผิดหวัง กับการเดินแบบและถ่ายภาพในคราวเดียวกัน เมื่อมาถึงสัปดาห์ที่สิบเอ็ด รอบรองชนะเลิศ ตะวันต้องตกเป็นสองคนสุดท้ายอีกครั้ง แม้จะได้รับคำชมกับภารกิจถ่ายภาพจำลองเพื่อขึ้นปกนิตยสาร ฮาร์เปอร์ บาซาร์ สิงคโปร์ ว่าแสดงออกทางสีหน้า และโพสท่าดูมีพลัง และแข็งแกร่ง (แต่ก็ถูกตำหนิว่าดูเชย และไม่รู้สึกถึงความทันสมัย) อย่างไรก็ตามเธอก็สามารถเข้าไปรอบชิงชนะเลิศได้เป็นผลสำเร็จ

ในสัปดาห์สุดท้ายรอบชิงชนะเลิศ จิรัชญาสามารถทำภารกิจถ่ายภาพในคอนเซ็ปต์แฟชั่นชั้นสูง และสวมเสื้อผ้าแนวอวองค์-การ์ดแบบฝรั่งเศส ซึ่งออกแบบโดยดีไซเนอร์ชาวฟิลิปปินส์ รวมทั้งเดินแบบในชุดราตรียาวแบบแฟชั่นชั้นสูง ที่ออกแบบจากดีไซเนอร์ชาวอินโดนีเซียและชาวฟิลิปปินส์ได้เป็นที่ถูกใจคณะกรรมการ เธอได้รับคำชมว่าเดินแบบได้แข็งแกร่ง งดงาม และดูหรูหรา ในขณะที่ภาพของเธอก็ดูมีพลัง นั่นจึงทำให้จิรัชญาได้ตำแหน่งเอเชีย เน็กซ์ ท็อป โมเดล ซีซั่น 4 มาฝากพี่น้องชาวไทยได้ในท้ายที่สุด

“กับการที่ได้รางวัลนี้มา ตะวันไม่ได้มาง่ายๆ เพราะในการทำแต่ละภารกิจนั้นมันยากมาก แต่ตะวันก็สู้เต็มที่เพื่อความฝันนี้ของตัวเอง พอความฝันได้กลายเป็นความจริง รางวัลนี้จึงยิ่งใหญ่มาก ตอนนี้ตะวันก็พยายามเรียนรู้ทักษะหลายๆ อย่าง เพื่อจะได้ทำในแต่ละโอกาสที่ได้รับมาให้ดีที่สุด โดยหลังจากนี้ ตะวันจะมีงานที่กรุงลอนดอน เพราะตะวันได้เซ็นสัญญาเป็นนางแบบกับ สตอร์ม โมเดล แมเนจเมนต์ แต่ยังไงตะวันก็ขอฝากผลงานการถ่ายแบบและลงปกนิตยสารฮาร์เปอร์ บาซาร์ สิงคโปร์ ไว้ด้วยนะคะ เห็นแล้วเป็นอย่างไร ติชมกันได้ที่
อินสตาแกรมของตะวัน @tawanjiratchaya ได้เลยค่ะ (ยิ้ม)”

แด่...ความฝัน ที่กลายเป็นความจริง ภาพ : อินสตาแกรม tawanjiratchaya