#ดาวก็คือดาว 8 คนสุดท้าย เดอะ สตาร์ 12

โดย...ตุลย์ จตุรภัทร ภาพ... วิศิษฐ์ แถมเงิน

ในที่สุด เราก็ได้ 8 คนสุดท้ายของรายการเดอะ สตาร์ ค้นฟ้า คว้าดาว ปีที่ 12 กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว (ค่ำคืนนี้จะมีคอนเสิร์ตเปิดตัวของพวกเขาทั้ง 8 คน ทางช่องวัน) ซึ่งผมก็ได้มีโอกาสไปร่วมเป็นสักขีพยานในการประกาศผล 8 คนสุดท้าย ณ เมืองไทย จีเอ็มเอ็ม ไลฟ์ เซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อเสาร์ที่ 26 มี.ค.ที่ผ่านมา บอกเลยว่า ถึงคนไทยทั้งประเทศจะชมรายการนี้ผ่านหน้าจอโทรทัศน์ แต่มันก็ไม่สด ไม่เรียล เหมือนได้อยู่ในบรรยากาศสดๆ จริงๆ ซึ่งทำให้ผมได้รับประสบการณ์ที่แตกต่างและทำให้ใจระทึกได้อยู่มิใช่น้อย

 หลังการประกาศผล ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับ 8 คนสุดท้ายแบบเอ็กซ์คลูซีฟ เอาเป็นว่า พวกเขาทั้ง 8 คนจะรู้สึกอย่างไร คาดหวังในรายการนี้มากน้อยแค่ไหน เรื่องราวชีวิต แง่มุมความคิด และอะไรอีกมากมายของพวกเขาจะเป็นอย่างไร ตามไปดู

 

 

หมายเลข 1 น้ำผึ้ง-ธนัญญา รักแก้ว

“สำหรับเส้นทางการประกวดของหนู หนูก็ผ่านประกวดร้องเพลงตามเวทีเล็กๆ ต่างๆ มามากมาย แต่เวทีใหญ่ หนูประกวดที่รายการเดอะ สตาร์ แค่รายการเดียว ซึ่งบอกได้เลยว่า เวทีนี้มันยากมาก ทุกขั้นตอน ทุกก้าวเดิน ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายดายเลย หนูจึงต้องฝึกฝนการร้องเพลงทุกวัน เพราะหนูเคยประกวดแล้วไม่ได้ แต่พอได้เป็น 8 คนสุดท้ายในปีนี้ ก็ต้องขอบคุณคนที่ให้กำลังใจหนู และขอบคุณตัวเองที่ไม่เคยคิดย่อท้อ

 ปีนี้หนูต้องมาเจอผู้หญิงสายแข็งหมดเลย หวั่นไหม ก็หวั่นค่ะ แต่หนูก็จะทำในส่วนของหนูให้เต็มที่ ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการและคุณผู้ชม ซึ่งหนูเชื่อว่าปีนี้จะเป็นปีของผู้หญิงอีกปีหนึ่ง ที่จะไม่ทำให้แฟนๆ ของรายการต้องผิดหวัง หนูพร้อมและเต็มที่กับมันแน่นอนค่ะ ถึงจะตกรอบแรก ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าได้เป็นแชมป์ก็จะดีใจมากๆ (ยิ้ม)”

 

หมายเลข 2 ตงตง-กฤษกร กนกธร

“ถามว่าผมรู้ตัวว่าผมร้องเพลงเพี้ยนมั้ย ผมรู้ตัวครับ หลังจากนี้ผมคงต้องเจอศึกหนักแน่นอน แต่ผมจะตั้งใจร้องเพลงอย่างหนัก ในส่วนของการแสดง จริงๆ แล้วผมเป็นคนขี้อายนะครับ แต่ด้วยความที่ผมได้รับคำแนะนำที่ดีจากคุณครูของทางรายการ ทำให้ผมหลุดออกจากกรอบของความขี้อายมาได้ ทำให้สามารถเอ็นเตอร์เทนคนดูให้มีความสุขไปกับผมได้

 กับความคาดหวัง ผมคิดว่าแค่นี้ก็มากเกินพอสำหรับผมแล้ว ถามว่าผมพร้อมตกรอบในสัปดาห์แรกมั้ย หรือสัปดาห์ต่อๆ ไปมั้ย ขอไม่พูดว่าพร้อมหรือไม่พร้อม ผมขอทำให้เต็มที่ในทุกๆ สัปดาห์ดีกว่า แล้วให้คนดูและกรรมการเป็นคนตัดสิน แต่อย่างไร ผมก็จะตั้งใจฝึกฝนการร้องเพลงให้ได้ดีอย่างแน่นอน ผมขอสัญญาว่าผมจะทำให้เต็มที่ ให้สมกับที่เลือกผมมาเป็น 8 คนสุดท้ายครับ”

 

หมายเลข 3 ปิ่น-พรชนก เลี่ยนกัตวา

“หลายคนคิดว่าหนูร้องเพลงได้แนวเดียวคือลูกทุ่ง แต่จริงๆ แล้วหนูถนัดร้องเพลงได้หลายแนว รวมทั้งเพลงสากลกับการที่มีคนบอกว่า หนูเส้นหรือเปล่า เพราะเคยประกวดรายการศึกวันดวลเพลงกับทางช่องวัน หนูห้ามความคิดใครไม่ได้ สิ่งที่หนูทำได้คือ พิสูจน์ให้ทุกคนได้รู้ว่าไม่ใช่เพราะมีใครหนุนนำหนูเข้ามา แต่เป็นเพราะความสามารถของหนูเอง เมื่อหนูเข้ารอบมาได้แล้ว นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ต่อไปจากนี้มันจะหนักกว่านี้ แต่หนูสู้เต็มที่ค่ะ

 ถามว่าหนูอายุน้อยที่สุด จะมีปัญหาในการเข้าสังคมไหม หนูเป็นคนเข้ากับคนได้ง่าย ปรับตัวได้เร็ว และพี่ๆ ทุกคนก็ให้ความใส่ใจให้ความอบอุ่นเหมือนคนในครอบครัวเดียวกันกับการที่ปีนี้ ผู้หญิงเข้ารอบ 5 คน ผู้ชายแค่ 3 คน ใครหลายคนคงคิดว่ามันต้องเป็นปีที่ผู้หญิงต้องมาแข่งกันอย่างแน่นอน หนูคิดว่าผู้หญิงทุกคนมีจุดแข็งเป็นของตัวเองกันหมด ผู้ชายก็ด้วย ทุกคนมีความสามารถเฉพาะตัวของตัวเองกันหมด ใครจะได้ หรือใครจะตกรอบ ทุกคนเก่งเท่ากันหมดค่ะ”

 

หมายเลข 4 เจนนี่-รติพันธ์ พันธ์พินิจ

“จากที่เจนนี่เคยเป็นนักร้องออกซิงเกิ้ล แล้วต้องมาประกวดในตอนอายุ 26 ปี เจนนี่คิดว่า มันไม่สายเกินไป เจนนี่เป็นนักสู้ ไม่เคยหยุดที่จะเดินทางตามหาความฝัน การได้มาประกวดมันจึงเป็นการต่อสู้ที่ทำให้เจนนี่มีความสุข ทำให้กระชุ่มกระชวย ตื่นเต้น และตื่นตัวกับชีวิต

 เจนนี่เข้ามาประกวด คิดว่านี่คือการแข่งขัน ไม่ได้มาเล่นๆ ทำให้นอกจากจะต้องร้องเพลงให้ตัวเองมีความสุข คนฟังมีความสุข เจนนี่ยังต้องทำให้คนฟังรู้สึก ว้าว! ไปกับการตีโจทย์ของเพลงแต่ละเพลงที่ได้ร้องออกไปด้วย ถ้าสังเกตในทุกๆ เพลง เจนนี่จะร้องไม่เหมือนต้นฉบับเลย ซึ่งเอาเข้าจริงๆ มันยากมากนะ กับการที่ต้องทำให้เพลงที่คนติดหู แต่เราเอามาร้องในแบบของเรา แล้วคนฟังฟังแล้วยังรู้สึกว่ามันเพราะอยู่”

 

หมายเลข 5 เน็ท-ปนัสยา กิตติกถากุล

“หนูเคยเป็นเกิร์ลกรุ๊ปวงแคนดี้มาเฟีย และเมื่อหมดสัญญาจากค่ายโมโนมิวสิค ทำไมไม่ไปเสนอตัวเองตามค่ายเพลงต่างๆ ทำไมเลือกที่จะมาประกวดร้องเพลง ทำไมต้องย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น เป็นเพราะหนูอยากเริ่มต้นใหม่ อยากพิสูจน์ความสามารถของตัวหนูเอง หนูอยากก้าวเดินตามเส้นทางที่หนูได้เลือกเดินเอง แม้ว่าบนเส้นทางนี้หนูอาจไปไม่ถึงดวงดาวตามที่ตั้งใจไว้ ก็ไม่เป็นไร ขอทำให้เต็มที่ที่สุด

 ถามว่าการออดิชั่นเข้าค่ายเพลงกับการมาประกวดแตกต่างกันอย่างไร ต่างกันมากนะคะ การประกวดทำให้หนูได้ปรับทัศนคติที่มีต่อการเป็นศิลปิน ที่ไม่ใช่แค่อยากดัง อยากมีแฟนคลับมาถือป้ายไฟ แต่มันทำให้หนูได้โฟกัสไปยังจุดเริ่มต้นที่เดินเข้ามาประกวดนั่นคือ การได้พัฒนาในเรื่องของการร้องเพลง การเต้น และการแสดงอย่างแท้จริง”

 

หมายเลข 6 จัมโบ้-วรกฤต วรกุล

“ใครหลายคนอาจทราบดีว่า ผมไม่ได้เข้ารอบ 8 คนสุดท้ายในปีที่แล้ว หลังจากตกรอบไป ผมก็ไปซ้อมร้องเพลงเพิ่มขึ้น และไปร้องเพลงตามผับต่างๆ เพื่อหาประสบการณ์ เพื่อการแสดงบนเวทีจะได้ดีขึ้น เพราะผมเป็นคนขี้อาย ไม่กล้าแสดงออก พอมาปีนี้เลยรู้สึกรีแลกซ์ขึ้น สื่ออารมณ์เพลงได้ดีขึ้น

 ผมเรียนเปียโนตั้งแต่เด็ก แต่พอไม่ใช่ทาง ก็เลิกเล่นไป มาเล่นกีตาร์แทน เพราะเห็นพ่อเล่นแล้วชอบ แล้วมาร้องเพลงตอนเรียนอยู่ ม.ปลาย โดยได้ร้องเพลงประสานเสียงให้กับโรงเรียนกับยุคสมัยนี้ที่ใครๆ ก็ดังได้ทางยูทูบ ถามว่าทำไมผมไม่เลือกที่จะร้องเพลงลงยูทูบ เผื่อดังแล้วค่ายเพลงสนใจ ทำไมเลือกมาประกวด เพราะรายการเดอะ สตาร์ เป็นรายการที่ผมชอบ และอยากมาประกวด ไม่มีเหตุผลมากไปกว่านั้น”

 

หมายเลข 7 พรีน-รวิสรารัตน์ พิบูลภานุวัธน

“ตอนประกาศผลที่ผู้หญิงเข้ารอบไปแล้ว 4 คน แล้วหนูเป็นผู้หญิงคนที่ 5 ที่ได้เข้ารอบ มันช็อกมาก เพราะหนูคิดว่า ยังไงก็ต้องประกาศผลเป็นผู้ชายแน่ๆ แต่พอเป็นหนู ความเป็นไปไม่ได้ กลายเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ขอบคุณผู้ใหญ่ที่มองเห็นความสามารถและให้โอกาส และถ้ามีโอกาสได้เข้ารอบลึกๆ ทุกคนได้เห็นหนูเต้นแน่นอน ไม่ใช่แค่ร้องเพลงเศร้าได้เพียงอย่างเดียว หนูเต้นได้นะคะ (หัวเราะ)

 กับการประกวดในครั้งนี้ หนูต้องขอบคุณเอม (สาธิดา ปิ่นสินชัย แชมป์รายการทรู อคาเดมีแฟนเทเชีย ซีซั่น 11) เพื่อนสนิท ที่เป็นคนแรกที่บอกหนูว่ารายการนี้เปิดรับสมัคร และหนูต้องไปประกวด ขอบคุณที่เป็นกำลังใจให้หนูมาตลอด ทำให้หนูรู้ซึ้งและเข้าใจในความยากของการประกวด ว่ามันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ และได้อะไรมาง่ายๆ และกับการที่หนูเคยเป็นนักร้องออกซิงเกิ้ลมาก่อน แล้วถ้าไปไม่ถึงฝัน ตกรอบไปก่อน หนูยังจะได้ร้องเพลงมีซิงเกิ้ลอย่างที่ตั้งใจไว้อีกไหม เอาเป็นว่าถ้าการแข่งขันในครั้งนี้มันต้องสู้ หนูก็จะสู้ เพื่อการอยู่รอดของความฝันของเรา”

หมายเลข 8  บิ๊ก-กฤษฎา จันทร์ดี

“ก่อนมาประกวดที่รายการเดอะ สตาร์ ผมเป็นนักดนตรีกลางคืนอยู่ที่ จ.เชียงใหม่ ในความรู้สึกของผม มันแตกต่างจากการประกวดมากๆ ครับ การเล่นดนตรีก็คือการทำงานที่ทำเสร็จแล้วรับเงินกลับบ้าน แต่การประกวด มันคือความฝัน ที่เราอยากทำให้มันกลายเป็นความจริง และต่อยอดไปสู่การเป็นศิลปินตามที่เราได้มุ่งหวังไว้

 เมื่อได้เข้ามาเป็น 8 คนสุดท้าย ผมคิดว่า มันเป็นแค่จุดเริ่มต้น ต่อไปหลังจากนี้คืองานหนัก อาจจะหนักน้อยกว่าที่พ่อแม่ของผมทำงานส่งผมให้เรียนจนมามีผมในวันนี้ก็ได้ แต่ผมคิดว่าได้เลือดนักสู้มาจากพ่อกับแม่ ผมจึงไม่หวั่นงานหนัก หากมีคนวิจารณ์ว่าเอาเรื่องครอบครัวมาสร้างดราม่า สร้างกระแส คิดว่าไม่มีใครรู้ดีไปกว่าตัวเรา ไม่มีใครรู้ดีว่าครอบครัวเราเป็นอยู่ดีอย่างไร แต่ใจเรารู้ดี ทำอะไร เรารู้ตัวดีเสมอ”