posttoday

อย่าปล่อยให้สติหลุดลอย

13 พฤษภาคม 2553

แม้หนังเรื่องนี้จะสะท้อนภาพความบ้าคลั่งของผู้คนที่ติดเชื้อโรคลึกลับ แต่ประเด็นสำคัญที่หนังต้องการบอกคือ การควบคุมจิตใจของตัวเองไม่ให้สติหลุดลอย แม้ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายแค่ไหนก็ตาม

แม้หนังเรื่องนี้จะสะท้อนภาพความบ้าคลั่งของผู้คนที่ติดเชื้อโรคลึกลับ แต่ประเด็นสำคัญที่หนังต้องการบอกคือ การควบคุมจิตใจของตัวเองไม่ให้สติหลุดลอย แม้ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายแค่ไหนก็ตาม

โดย...อินทรชัย พาณิชกุล

แค่เห็นชื่อไทยก็สยองแล้ว ยิ่งพอได้ดูก็ยิ่งขนลุกเข้าไปใหญ่

The Crazies (เมืองคลั่งมนุษย์ผิดคน) ภาพยนตร์ตื่นเต้นระทึกขวัญผลงานจากปี 1973 ของเจ้าพ่อหนังซอมบี้ จอร์จ เอ. โรเมโร หลังจากผลงานในตระกูล Of the Dead ของปู่แกถูกรีเมกกันจนเกลี้ยง ก็ถึงเวลาซะทีของผลงานชิ้นนี้ที่ถูกนำกลับมาสร้างใหม่กับเขาบ้าง โดยผู้กำกับฝีมือดีอย่าง เบรก ไอส์เนอร์

 

อย่าปล่อยให้สติหลุดลอย

พล็อตเรื่องอาจจะดูไม่แตกต่างไปจากหนังแนวเดียวกันเท่าไหร่นัก เรื่องราวของชุมชนเล็กๆ อันเงียบสงบแห่งหนึ่ง ชาวบ้านต่างดำเนินชีวิตอยู่อย่างปกติสุข แต่มาวันหนึ่งใครบางคนก็เริ่มมีพฤติกรรมแปลกประหลาด มีอาการซึมเศร้า นัยน์ตาเหม่อลอยไร้ความรู้สึก พูดจาไม่รู้เรื่อง ก่อนจะเริ่มคลุ้มคลั่งกลายเป็นฆาตกรอำมหิตทำร้ายไล่ฆ่ากันไม่เลือกหน้า ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนไม่มีใครตั้งตัวได้ทัน ในที่สุดเมืองทั้งเมืองก็กลายสภาพเป็นแดนมิคสัญญี

หนังเดินเรื่องผ่านตัวละครหลักไม่กี่คน นำโดยนายอำเภอหนุ่ม เดวิต ดัตตัน (ทิโมธี โอลิแฟนท์)พร้อมด้วยภรรยา จูดี้ (ราดา มิตเชลล์) รวมถึงเบ็กกา (ดาเนียล พานาเบเกอร์) เจ้าหน้าที่ในศูนย์สาธารณสุข และรัสเซลล์ (โจ แอนเดอร์สัน) ผู้ช่วยนายอำเภอ มือขวาของดัตตัน

ทั้งหมดต่างเป็นผู้รอดชีวิตที่เกาะกลุ่มหนีตายไปด้วยกัน ท่ามกลางความตื่นตระหนกวิตกหวาดหวั่นของผู้คนที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเมืองที่พวกเขาอาศัยอยู่ บรรยากาศเต็มไปด้วยความวุ่นวาย หวาดระแวงซึ่งกันและกัน จากเพื่อนบ้านที่เคยยิ้มแย้มโอบอ้อมอารี กลายเป็นคนแปลกหน้า เพราะไม่รู้ว่าเหยื่อรายต่อไปที่จะลุกขึ้นมาฆ่าพวกเขานั้นจะเป็นใครก็ได้
เมื่อเหตุการณ์ลุกลามบานปลาย กองกำลังทหารพร้อมทีมงานแพทย์จำนวนมากถูกส่งเข้ามาตรึงพื้นที่เพื่อควบคุมสถานการณ์ ทุกคนถูกต้อนขึ้นรถเพื่อเข้าไปตรวจหาเชื้อไวรัส (ที่เชื่อว่าน่าจะเป็นมูลเหตุที่ทำให้เกิดความบ้าคลั่งเสียสติไล่ฆ่ากัน) ไว้ในเขตกักกันเชื้อโรค หนังฉายให้เห็นภาพชาวบ้านที่อกสั่นขวัญหาย หญิงสาวและเด็กเล็กร้องไห้ด้วยความตกใจความโกรธ ความกลัวกระตุ้นให้ชายหนุ่มหลายคนฮึดสู้ แต่แล้วก็ถูก “ยิงทิ้ง” อย่างไร้เยื่อใย

นี่เกิดอะไรขึ้น? ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นจริงๆ หรือ ---ตัวละครสาวคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นด้วยความกลัวแทบสิ้นสติหลังได้เห็นภาพคนบ้าคลั่งไล่ฆ่ากันด้วยอาวุธนานาชนิดต่อหน้าต่อตา ภาพชาวบ้านหลายสิบคนถูกทหารกราดยิงทิ้งเพราะคิดว่าติดเชื้อโรคร้าย ภาพเมืองทั้งเมืองพังพินาศ ตลอดจนซากศพกองพะเนินกระจัดกระจายเกลื่อนกลาดบนท้องถนนที่ไร้สิ่งมีชีวิตใดๆ
ไคลแมกซ์ของหนังเรื่องนี้อยู่ในช่วงกลางเรื่องไปจนถึงตอนจบ หลังจากสถานการณ์ร้ายแรงจนไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป ไม่มีกฎหมายหรือศีลธรรมใดๆ อีกแล้วที่จะควบคุมจิตใจใครๆ ไม่ให้หยิบอาวุธขึ้นมาป้องกันตัวเองได้ เราจะเห็นความโหดร้ายน่าสะเทือนใจของมนุษย์ที่ทำต่อมนุษย์ด้วยกัน อย่างเช่นการทำลายล้างพวก “บ้าคลั่ง” ทุกคนที่ขวางหน้าของเหล่าทหารใส่หน้ากากกันพิษ พรานล่าสัตว์โรคจิตที่หันมาไล่ยิงทั้งคนบริสุทธิ์ทั้งผีดิบกันสนุกสนาน

แต่ที่น่าสนใจมากที่สุดเห็นจะเป็นการต่อสู้ภายในจิตใจของคนเป็นๆ ที่ยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนสมบูรณ์ ซึ่งพยายามทำทุกวิถีทางไม่ให้ตัวเองสติแตก อะไรจะน่ากลัวไปกว่าคนเป็นๆ ที่เหลือรอดชีวิตเพียงน้อยนิดที่กำลังหวาดระแวงซึ่งกันและกัน ตามมาด้วยการทะเลาะเบาะแว้ง ยกตัวอย่างเช่น ฉากที่นายอำเภอกระชากคอผู้ช่วยของเขาขึ้นมาตะคอกใส่ “ฟังนะนายไม่ได้ติดเชื้อนายยังเป็นคนอยู่นะ อย่าให้สติแตก” เพื่อเรียกสติกลับคืนมา หลังเห็นมือขวาของเขาคนนี้เริ่มจะใช้ความรุนแรงเข้าแก้ปัญหาด้วยการฆ่าใครก็ตามที่เขาเชื่อว่าติดเชื้อโรคบ้าคลั่ง

แม้หนังเรื่องนี้จะสะท้อนภาพความบ้าคลั่งของผู้คนที่ติดเชื้อโรคลึกลับ บรรยากาศตื่นตระหนกตกใจของชาวเมืองท่ามกลางความวุ่นวายโกลาหล แต่ประเด็นสำคัญที่หนังต้องการบอกคือ การควบคุมจิตใจของตัวเองไม่ให้สติหลุดลอย แม้ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายแค่ไหนก็ตาม มากกว่าความบ้าคลั่งของผีดิบและซากปรักหักพังของเมืองที่พังพินาศ