posttoday

เอฟเวรีบอดี้ เลิฟส์ ... ‘ดีน มาร์ติน’

10 พฤศจิกายน 2556

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณมิตรรักแฟนเพลง ที่อีเมลมาขอประวัตินักร้องในยุคโอลดี้ซิกซ์ตี้ส์กันอย่างมากมาย

โดย...กบยูเนี่ยน

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณมิตรรักแฟนเพลง ที่อีเมลมาขอประวัตินักร้องในยุคโอลดี้ซิกซ์ตี้ส์กันอย่างมากมาย นี่แสดงให้เห็นว่า แฟนเพลงรุ่นเก่าๆ ที่รักและคิดถึงเพลงเก่าๆ มีจำนวนไม่ใช่น้อยๆ ก็ทำไมจะไม่น้อย ในเมื่อเพลงเก่ามีความไพเราะ มีเสน่ห์ และมีมนต์ขลังไม่เสื่อมคลาย ใช่แล้ว! รักเราไม่เก่าเลย (มันจะเกี่ยวกันมั้ยเนี่ย!?!)

เล่าเรื่องเก่าวันนี้ กบยูเนี่ยนขอนำท่านผู้อ่านกลับสู่โลกเสียงเพลงยุคซิกซ์ตี้ส์กันอีกครั้ง โดยเป็นคิวของ ดีน มาร์ติน (Dean Martin) เจ้าของเสียงเพลงอมตะ That’s Amore, Form The Bottom Of My Heart และ Everybody Loves Somebody พื้นที่มีน้อย ไปลุยกันเลยดีกว่า

เมื่อเอ่ยถึง ดีน มาร์ติน ว่ากันว่าล้อมรอบตัวเขามี 3 สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ นั่นคือ แอลกอฮอล์ ผู้หญิง และเสียงเพลง โดยปฏิเสธไม่ได้ว่า นักร้อง ดาวตลก และดาราภาพยนตร์ชาวอเมริกันเชื้อสายอิตาเลียนผู้นี้ มีบุคลิกที่มากไปด้วยเสน่ห์และเร้าอารมณ์เพียงใด เสียงทุ้มนุ่มนวลของเขาชวนผู้ฟังให้ผ่อนคลาย และไหลลื่นไปกับอารมณ์ในเสียงเพลงได้อย่างต้องการ

เอฟเวรีบอดี้ เลิฟส์ ... ‘ดีน มาร์ติน’

 

ดีน มาร์ติน เกิดวันที่ 7 มิ.ย. 1917 ที่เมืองสติวเบนวิลล์ รัฐโอไฮโอ สหรัฐ ชื่อเดิมคือ ดิโน ปอล ครอเซตติ ครอบครัวของเขายากจนมาก ดีนต้องต่อสู้ชีวิตตั้งแต่เด็ก เขาเรียนหนังสือไม่จบ อายุ 13 ปีก็ต้องลาออกจากโรงเรียนเพื่อหาเงินช่วยทางบ้าน เป็นตั้งแต่เด็กปั๊ม เด็กขัดรองเท้า คนงานในโรงงานถลุงเหล็ก จากนั้นก็ต่อด้วยอาชีพนักมวย และว่างๆ ก็รับแจกไพ่ในบ่อนใกล้บ้าน

นักมวยผู้มีลำไพ่ด้วยการแจกไพ่ผู้นี้ชอบการร้องเพลง เขาชอบร้องเพลงมาก นักร้องที่เขาชื่นชมเป็นพิเศษ คือ นักร้องอมตะ บิง ครอสบี โดยดีนให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่า เบื้องหลังความสำเร็จก็คือ เทคนิคการร้องเพลงที่ดี นักร้องต้องไม่ตะเบ็งเสียง หากต้องรู้จักทอดเสียงพร้อมอารมณ์อย่างลื่นไหล ดูสบายๆ ผ่อนคลายนั่นเอง

ดีนก้าวสู่วงการเพลงครั้งแรกในปี 1941 ด้วยการไปสมัครเป็นนักร้องในวงดนตรีของ แซมมี วัตกินส์ ที่คลีฟแลนด์ ใช้ชื่อในขณะนั้นว่า ดีโน มาร์ตินี (Dino Martini) ภายหลังจึงเปลี่ยนเป็น ดีน มาร์ติน เขามีโอกาสบันทึกแผ่นเสียงกับหลายบริษัท เพลงในช่วงแรกก็เช่น Which Way Did My Heart Go, I Got The Sun In The Morning, Apollo และเพลงเก่าที่ไพเราะมากอย่าง Santa Lucia เป็นต้น

อีกด้านหนึ่งของอาชีพนักร้อง ดีน มาร์ติน ยังจับคู่เปิดการแสดงกับดาวตลกชื่อดัง เจอรี ลิวอิส ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นการจับคู่ที่เหมาะเจาะที่สุดคู่หนึ่ง โดย ดีน มาร์ติน จะรับบทตลกหน้าตาย ขณะที่ เจอรี ลิวอิส จะเป็นตลกเจ็บตัว คอยตีลีลาทะลึ่งทะเล้น ส่งเสียงเอะอะมะเทิ่ง ทั้งคู่เป็นตลกสด แสดงสดหน้าม่าน ไม่เตรียมบทหรือท่องบท อาศัยมุขและลีลาเฉพาะตัวที่กลายเป็นส่วนผสมทำให้ผู้ชมฮากลิ้ง

เอฟเวรีบอดี้ เลิฟส์ ... ‘ดีน มาร์ติน’

 

2 ตลกกลายเป็นคู่การแสดง ที่มีความต้องการสูงสุดในขณะนั้น โดยจะรับจ้างแสดงตามสถานบันเทิงชั้นนำ หลัก ๆ ได้แก่ Copa ไนท์คลับดังแห่งมหานครนิวยอร์ค รวมทั้ง Ciro และ Chez Paree เป็นต้น การแสดงตลกของทั้งคู่ ส่งผลดีต่อการร้องเพลงของพวกเขาด้วย โดย ดีน มาร์ติน มีเพลงฮิตเพลงแรกในปี 1984 จากการร้องดูโอคู่กับ เจอรี เลวิส ในเพลง That Certain Party และติดท็อปเทนชาร์ตจาก Powder Your Face With Sunshine

จากความโด่งดังของคู่ตลก ยังกรุยทางให้พวกเขาได้โอกาสแสดงภาพยนตร์ร่วมกัน โดยในปี 1950 จากเรื่อง My Friend Irma, At War With The Army และ My Friend Irma Goes West (พาราเมาท์ พิคเจอร์ส) ภาพยนตร์เปิดโอกาสให้แฟนๆ ได้ประจักษ์ถึงน้ำเสียงที่ไพเราะอย่างลึกซึ้งของ ดีน มาร์ติน เช่น เพลง You Belong to Me, If และ Love Me, Love Me

ต่อจากนี้ก็เป็นสิ่งที่แฟนเพลงทั่วโลกรู้กันอยู่แล้ว นั่นคือ ความโด่งดังของ ดีน มาร์ติน จากเพลงดังของเขาอีกมากต่อมากในเวลาต่อมา ไม่ว่าจะเป็น That’s Amore, Sway (ทำนองเดียวกับเพลงเม็กซิกัน Quien Sera), Mambo Italiano และเพลงซึ้งๆ อย่าง Love Me, My Love และอีกมากมายชนิดที่ทั้งหน้ากระดาษนี้ก็เก็บไม่หมด

มาถึงบรรทัดสุดท้ายแล้ว แต่ยังอยากเล่าถึงชีวิตและเกร็ดต่างๆ ของ ดีน มาร์ติน ใครที่เป็นแฟนเพลงหรือแฟนภาพยนตร์ของนักร้องมาดนุ่ม อย่าลืมติดตามในครั้งต่อๆ ไป รับรองว่าถ้ามีโอกาสก็จะนำมาเล่าสู่กันสนุกๆ อีก ตอนนี้ขอตัวไปเปิด Mambo Italiano ฟังก่อนนะ...บ๊ายบาย