ยลโฉม...สองสาวงามแห่งเอเชีย ไทยพม่า
นาทีนี้หนุ่มๆ ทั่วโลกคงกำลังตาร้อนหนุ่มๆ รัสเซีย เพราะมีสาวงามถึง 86 คน พร้อมใจกันเดินทางมายังกรุงมอสโก
โดย...พุสดี สิริวัชระเมตตา
นาทีนี้หนุ่มๆ ทั่วโลกคงกำลังตาร้อนหนุ่มๆ รัสเซีย เพราะมีสาวงามถึง 86 คน พร้อมใจกันเดินทางมายังกรุงมอสโก เพื่อประชันโฉมกับเพื่อนนางงาม ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประเทศในการเผยแพร่วัฒนธรรม และถ้าสาวงามคนไหนหน้าตาเข้าตากรรมการ มีไหวพริบดี จะได้สวมมงกุฎเพชรและครองตำแหน่งมิสยูนิเวิร์ส หรือผู้หญิงที่สวยที่สุดในจักรวาลไปครอง
แม้ยังไม่รู้ว่าสาวงามคนไหนจะไปถึงดวงดาว ปลายทางแห่งฝัน เพื่อเป็นการเรียกน้ำย่อยก่อนการประกวดรอบตัดสินที่จะมีขึ้นที่ Crocus City Hall ในวันที่ 9 พ.ย.นี้ ตามเวลาท้องถิ่น ลองไปทำความรู้จักกับสองรูมเมทนางงามหน้าใส...รับรองว่าไม่ผิดหวัง
คู่ซี้นางงาม
แสงแฟลชวูบวาบ สาดไปที่สองสาวงามทันทีที่ ลิต้า-ชาลิตา แย้มวัณณังค์ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ควงคู่ โม เซท วาย มิสเมียนมาร์ สองสาวเอเชีย ที่เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น ผู้ร่วมสนับสนุนการจัดประกวดมิสยูนิเวิร์สเมียนมาร์ ชวนมาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติ ความคิด และวัฒนธรรมระหว่างไทยและพม่า เนื่องในโอกาสครบรอบ 65 ปี ความสัมพันธ์ไทยพม่า แบบเฉพาะกิจ ก่อนลัดฟ้าไปร่วมประกวดมิสยูนิเวิร์ส
โม เซท วาย สาวใสวัย 25 ปี ซึ่งจบการศึกษาปริญญาตรีด้านตลาดธุรกิจจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลุเธอราน ในสหรัฐอเมริกา บอกว่า มีกำหนดอยู่ที่เมืองไทย 2 วัน เพื่อเข้าร่วมการฝึกอบรมและการซ้อมเดินบนเวที ลิต้า มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ปี 2013 เป็นตัวแทนเจ้าบ้านให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ก่อนจะเดินทางไปประกวดบนเวทีเดียวกัน และเป็นรูมเมทเดียวกันตลอดการแข่งขัน
“ฉันมีโอกาสมาเมืองไทย 2-3 ครั้งแล้ว ส่วนใหญ่พาคุณแม่มาเช็กร่างกาย เลยยังไม่มีโอกาสได้ไปที่อื่นนอกจากเที่ยวภายในกรุงเทพฯ แต่ฉันตั้งใจว่าอยากจะลองไปเยือนภูเก็ต เพราะได้ยินมาว่าทะเลสวยงามมาก และที่สำคัญยังเป็นทะเลที่เชื่อมผืนดินประเทศพม่าและประเทศไทยไว้ด้วยกันอีกด้วย สำหรับกิจกรรมที่โปรดปรานเวลามาเมืองไทย คือ ช็อปปิ้ง สปาและนวดแผนไทยมาก อย่างน้องถ้ามาแค่พักรอเปลี่ยนเที่ยวบินก็ต้องเข้าร้านนวดที่สนามบิน” มิสเมียนมาร์เปิดฉากเล่าถึงความชอบส่วนตัวเวลามาประเทศไทยอย่างออกรส
สาวงามคนแรกในรอบ 52 ปี
เมื่อถามถึงการครองตำแหน่งมิสยูนิเวิร์สเมียนมาร์ เธอเล่าว่า รู้สึกตื่นเต้นและเป็นเกียรติที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ของประเทศพม่า ซึ่งไม่มีการประกวดในลักษณะนี้มานานถึง 52 ปีแล้ว และการเข้าร่วมประกวดครั้งนี้ เธอตั้งใจจะทำให้เต็มที่ เธออยากจะบอกให้ทุกคนรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของพม่า ทั้งทางสังคมและการเมือง
“การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคือ ประเด็นการเมือง มีการเปิดประเทศมากขึ้น ปัจจุบันมีนักธุรกิจจำนวนมากเข้าไปลงทุน ทำให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น ส่วนประเด็นสิทธิสตรีในพม่า ฉันคิดว่าตอนนี้เรื่องผู้หญิงพม่ามีสิทธิเสมอภาคมากขึ้น แต่ด้วยวัฒนธรรมที่ยังให้คุณค่า ให้เกียรติกับผู้ชายมากกว่า เลยดูเหมือนว่าผู้ชายพม่ามีโอกาสทางสังคมมากกว่าผู้หญิง”
ถามถึงการเตรียมตัวก่อนไปประกวดในเวทีระดับโลก โม เซท วาย บอกว่า มีเวลาเตรียมตัวค่อนข้างน้อย เธอต้องหัดเดิน เรียนภาษาอังกฤษเพื่อใช้ในการสื่อสาร เพราะที่ประเทศพม่า ส่วนใหญ่ใช้ภาษาพม่าในการสื่อสาร เลยไม่คุ้นชินกับภาษาอังกฤษ นอกจากนี้ยังต้องเรียนข้อมูลเกี่ยวกับพม่า และเรียนด้านจิตวิทยาเพื่อฝึกความเข้มแข็งให้จิตใจ เวลาที่ต้องเผชิญกับแรงกดดันและคำวิพากษ์วิจารณ์
“ฉันเคยให้สัมภาษณ์ก่อนหน้าจะได้ตำแหน่งว่า ต่อให้ใครจะได้ตำแหน่งก็ไม่สำคัญ เพราะฉันเชื่อในมาตรฐานของกองประกวด ที่จะเลือกสาวงามที่เหมาะสมที่สุด เพื่อเป็นตัวแทนของประเทศไปทำหน้าที่สำคัญนี้ ส่วนตัวเธอเองจากนี้จะขอทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เผื่ออีก 20 ปีข้างหน้าเมื่อมองย้อนกลับมาเธอจะได้ไม่เสียใจ เพราะได้ทำดีที่สุดแล้ว ส่วนจะเข้าไปถึงรอบไหนไม่สำคัญ เพราะถือว่าได้เป็นตัวแทนของประเทศ เผยแพร่วัฒนธรรมของพม่าให้ทั่วโลกได้สัมผัส”
ส่วนกระแสตอบรับจากชาวพม่า โดยเฉพาะประเด็นเรื่องชุดว่ายน้ำที่ต้องใส่ในการประกวด สาวงามจากพม่าตอบอย่างไม่อึดอัดว่า ชาวพม่าตื่นเต้นกับการประกวดครั้งนี้มาก โดยเธอยอมรับว่าตอนแรกๆ ก็มีกังวลอยู่บ้างว่ากระแสตอบรับจะเป็นอย่างไร แต่ด้วยการนำเสนอชุดว่ายน้ำที่ออกมา ปรากฏว่าชาวพม่ารับได้ ได้รับการตอบรับที่ดี
ไทย-พม่า บ้านพี่เมืองน้อง
สำหรับทัศนคติที่มีต่อประเทศพม่าและไทย เธอบอกว่าไม่รู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างสองประเทศนี้อย่างชัดเจน เพราะทั้งไทยและพม่าเป็นเหมือนบ้านพี่เมืองน้องกัน ทั้งด้านภูมิศาสตร์ประเทศและวัฒนธรรม ซึ่งเธออยากให้ประเทศของเธอและประเทศไทยสานสัมพันธ์ดั่งเช่นพี่น้องกันไปนานๆ
“ทั้งไทยและพม่าต่างเป็นประเทศในเอเชียเหมือนกัน ดังนั้นเลยมีวัฒนธรรมที่คล้ายกันอยู่มาก ยิ่งกว่านั้น ประชากรก็มีหน้าตาคล้ายคลึงกัน สมมติฉันเดินมา หลายคนอาจจะคิดว่าฉันเป็นคนไทยด้วยกัน (หัวเราะ) อย่างไรก็ตาม ในสังคมพม่ายังมีวัฒนธรรมดั้งเดิมอยู่มาก เพราะที่ผ่านมาไม่ได้เปิดประเทศ เลยยังไม่ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากประเทศอื่น”
นอกรอบกับมิสยูนิเวิร์สไทย ฝ่าด่านหินกว่าจะโกอินเตอร์ได้
ก่อนจะหลงรักสาวงามจากพม่าไปมากกว่านี้ อย่าลืมหันมาให้กำลังใจสาวงามจากประเทศไทยที่เตรียมตัวซ้อมหนักมาถึง 3 เดือน ก่อนจะลัดฟ้าไปประชันความงามและไหวพริบกับผู้เข้าประกวดอีกหลายสิบชีวิต
ลิต้าชาลิตา แย้มวัณณังค์ เกริ่นว่า ที่ผ่านมาเตรียมตัวอย่างหนักมาก แต่เธอก็พยายามรักษาตัวตนของตัวเอง ไม่พยายามจะเป็นคนอื่น
“ปกตินางงามจะถูกตีกรอบให้อยู่ใน 4 แบบ คือ 1.นางพญา 2.เจ้าหญิง 3.โมเดล และ 4.girl next door ตอนแรกมีความพยายามจะให้ลิต้ามาในแบบนางพญา แต่ลิต้าว่าไม่ใช่ตัวตนของเรา ลิต้าว่าแต่ละคนอาจจะมีนางงามที่เป็นไอดอล แต่สุดท้ายทุกคนก็ต้องมีสไตล์ของตัวเองดีที่สุด
สำหรับคอร์สในการเตรียมตัวก่อนขึ้นเวทีระดับโลกนั้น ลิต้าแจกแจงว่า 3 บทเรียนใหญ่ๆ คือ
1.ฝึกเดิน แต่ละวันต้องฝึกเดินบนส้นสูง 45 นิ้ว ประมาณ 3 ชั่วโมง เวลาฝึกจะมีการถ่ายวิดีโอไว้ เพื่อให้มาดูทีหลังว่าเดินสวยไม่สวย สำหรับลิต้ามีปัญหาว่ามือไม้ยังเกะกะ ก็ต้องปรับ การโพส บางทีโพสแบบคนไทยอาจดูเรียบร้อยไป พอไปเวทีระดับนี้ต้องเดินให้แรง บิดให้แรงขึ้น
2.คอร์สแอ็กติ้ง เป็นครั้งแรกที่มีคอร์สนี้ เพราะบนเวทีการแสดงออกทุกอย่างต้องมีแอ็กติ้งที่ดี มีจริตจะก้าน
3.ฝึกการตอบคำถาม ตอบอย่างไรให้ดูฉลาด มีหลักการ ไม่ตอบแต่น้ำ ต้องมีกระบวนการคิดแบบมีแผนผังในหัว ทางที่ดีควรตอบให้อยู่ใน 2 นาทีจะพอดี ไม่สั้นไปหรือยาวไป
4.จิตวิทยา เป็นคอร์สสำคัญมาก ช่วยคลายปมในใจ บางทีเราคิดว่าเรามีปัญหา แต่จริงๆ เรามีปัญหาอยู่ เมื่อคลายปมและฝึกความแข็งแกร่งให้จิตใจได้แล้ว ช่วยให้เรามีสมาธิ และตั้งใจทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดได้