posttoday

"เป้ย-นิหน่า"รักของแม่คือภาระที่ยิ่งใหญ่

12 สิงหาคม 2556

ที่ผ่านมาอาจจะเป็นความสุขที่ฉาบฉวย แต่ตอนนี้ ได้อยู่กับลูก นี่ล่ะคือความสุขที่แท้จริง

โดย...ทีมข่าวในประเทศ

ต้อนรับวันแม่ด้วยความรู้สึกของนักแสดง-นางแบบชื่อดัง สู่การเป็นคุณแม่มือใหม่ วันนี้ “เป้ย” ปานวาด เหมมณี อดีตนักแสดงชื่อดัง กลายเป็นคุณแม่ของ “น้องโปรด” อัษศดิณย์ บุญยรัตกลิน วัย 10 เดือนแล้ว เป้ยเผยความในใจว่า การได้เป็นแม่ ทำให้รู้สึกถึงความสุขที่แท้จริง

“ก่อนหน้านี้ ความสุขของเราอาจจะเป็นการทำงาน หรือการได้ไปเที่ยว แต่เมื่อมีลูกแล้วก็รู้สึกเลยว่า ที่ผ่านมาอาจจะเป็นความสุขที่ฉาบฉวย แต่ตอนนี้ ได้อยู่กับลูก ได้อยู่กับสิ่งที่เรารัก นี่ล่ะคือความสุขที่แท้จริง” นักแสดงสาว เล่าให้ฟัง

เป้ยบอกเล่าความในใจว่า การมีลูกเป็นของตัวเอง ทำให้รู้ซึ้งถึงความเป็นแม่มากขึ้น และเข้าใจมากขึ้นว่าการที่แม่คอยโทรมาถามย้ำบ่อยๆ ว่าเป็นยังไงบ้าง กินข้าวหรือยัง ไม่ได้เป็นคำถามผิวเผิน เพื่อทักทายเท่านั้น แต่มีหลายล้านความหมายที่แสดงถึงความห่วงใยมากที่สุด ที่แม่จะมีให้ลูกได้

“โชคดีที่น้องโปรดเป็นคนเลี้ยงง่าย ร่าเริง ไม่งอแง เราก็เลยเลี้ยงเขาไม่ยาก ทุกวันนี้คนสมัยก่อนเลี้ยงยังไง เราก็เลี้ยงแบบนั้น อาจจะเอาสมัยใหม่มาผสมบ้าง ตั้งใจไว้ว่าจะอยู่ตรงกลาง ไม่ปล่อยลูกมาก แต่ก็จะไม่ปล่อยจนเกินไป ตอนนี้เวลาที่เรามีทั้งหมดก็ทุ่มให้น้องโปรด อะไรที่เป็นสิ่งดีๆ เราไปค้นเจออะไร ก็จะให้เขาเต็มที่”

“นิหน่า” สุฐิตา ปัญญายงค์ อดีตนักร้อง นักแสดง ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง แม่น้องแพทริก วัย 1 ขวบ เล่าว่า วินาทีแรกตั้งแต่คลอดน้องแพทริกออกมา ก็รู้สึกแล้วว่า การเป็นแม่คือภาระที่ยิ่งใหญ่มาก ที่จะต้องรับผิดชอบชีวิตลูกอีกหนึ่งคน ทำให้เข้าใจดีว่า ภาระของการเป็นแม่นั้นเหนื่อยเพียงใด

“พอรู้จะทำอะไรเราก็ห่วงไปหมด ห่วงว่าเขาจะกินได้ไหม ห่วงว่าเขาจะมีปัญหาอะไรไหม แต่ก็โชคดีว่าน้องแพทริกเลี้ยงง่าย ไม่ซน เราก็เลยเหนื่อยน้อยลงนิดหน่อย”

ส่วนวิธีเลี้ยงลูกนั้น นิหน่าบอกว่าปล่อยให้น้องแพทริก “ติดดิน ติดหญ้า” มากที่สุด และจะเล่นอะไรก็ปล่อยให้เรียนรู้ด้วยตัวเอง รวมถึงให้ลูกเข้าสังคมได้ดี ส่วนโตขึ้นจะให้ทำอะไรนั้น จะปล่อยให้ลูกตัดสินใจเอง

สิ่งที่เหมือนกันของทั้งเป้ยและนิหน่า ก็คือ ทั้งสองต่างเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมของตัวเอง โดยทั้งคู่ร่วมกันรณรงค์การให้นมแม่กับเหล่าคุณแม่มือใหม่

เป้ยบอกว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เห็นชัดว่าปลอดภัยกว่าการให้ลูกกินอย่างอื่น เพราะตั้งแต่แรกเกิดจนถึงขณะนี้ น้องโปรดแข็งแรงและมีพัฒนาการที่ดีมาก

“ช่วงแรกๆ อาจจะเหนื่อยหน่อย เพราะน้องโปรดตื่นทุก 2 ชั่วโมง พอช่วงที่เขาตื่นเราก็ให้นมเขาไม่ได้ เพราะต้องคอยดูเขาตลอด จะต้องรอเขาหลับ ถึงจะมาปั๊มน้ำนมเก็บไว้ได้ ตอนแรกๆ อาจจะน้ำนมออกยากบ้าง แต่ตอนนี้ถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะตอนแรกตั้งเป้าไว้ว่าสต๊อกไว้ 6 เดือนพอ แต่ตอนนี้เราสต๊อกได้ครบ 1 ปีแล้ว” เป้ย เล่าให้ฟัง

เธอบอกอีกว่า ภูมิใจมากที่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมตัวเอง จนโตขนาดนี้ ถ้าเป็นไปได้ ก็จะให้ลูกกินนมของเธอเองต่อไปเรื่อยๆ เพราะที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่า น้องโปรดแข็งแรงมาก โดยที่ผ่านมาพอเห็นใครคลอดลูกใหม่ๆ ก็จะแนะนำให้กินนมแม่ตลอดเวลา

ขณะที่นิหน่าก็ให้ลูกกินนมจากเต้าเช่นเดียวกัน โดยเธอตอบอย่างภูมิใจว่า ทุกวันนี้ยังคงปั๊มน้ำนมให้ลูกกินทุกๆ 3 ชั่วโมง และตั้งเป้าไว้ว่า จะให้ลูกกินนมจากเต้าไปจนอายุ 2 ขวบ เนื่องจากน้องแพทริกมีพัฒนาการที่ดี อันน่าจะเป็นผลพวงจากนมแม่นี่เอง

“ที่สำคัญคือนมจากเต้ายังเป็นวิธีส่งความอบอุ่นจากแม่ไปยังลูกได้ง่ายที่สุด แม่อาจจะต้องเหนื่อยหน่อยกับการปั๊มนม และต้องทำอย่างอื่นไปด้วย แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาได้เห็นลูกแข็งแรง เราก็ดีใจ” นิหน่า เล่าด้วยความภูมิใจ

ขณะที่ พญ.ศิราภรณ์ สวัสดิวร ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี บอกว่า ชื่นชมทั้งสองคน และแม่ทุกคนที่ให้นมลูกด้วยตัวเอง นมแม่มีสารอาหารมากกว่า 200 ชนิด และการดื่มนมแม่ตั้งแต่เกิดยังช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการแพ้โปรตีนนมวัว ซึ่งอาจนำไปสู่โรคหอบหืด หรือภูมิแพ้อีกด้วย

ทั้งนี้ ตัวเลขเด็กไทยที่กินนมแม่เพียงอย่างเดียวในปัจจุบัน ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 เดือน มีประมาณ 30% ซึ่งถือว่าดีขึ้นมากในระยะ 4-5 ปีที่ผ่านมานี้ อย่างไรก็ตาม ตั้งเป้าไว้ว่า ในอนาคตจะต้องดีขึ้น ถ้าอยู่ในระดับ 50% จะได้เห็นเด็กไทยที่มีภูมิคุ้มกันโรค และมีพัฒนาการที่สมบูรณ์กว่าในปัจจุบันแน่นอน

“อุปสรรคสำคัญที่ทำให้แม่ให้นมลูกลำบาก อาจจะเนื่องจากทำงานหนัก กว่าจะกลับบ้านมาก็เหนื่อยแล้ว เพราะฉะนั้นอยากให้เครือข่ายที่ทำงานเห็นใจคุณแม่ลูกอ่อนมากขึ้น”พญ.ศิราภรณ์ กล่าว

คุณหมอศิราภรณ์ย้ำว่า ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดจากนมแม่ มีงานวิจัยหลายตัวที่ย้ำชัดว่า เมื่อโตขึ้นพัฒนาการทางสมอง ทั้งระดับสติปัญญา และความฉลาดทางอารมณ์ มากกว่าเด็กที่รับประทานนมผงมาก ขณะเดียวกันในเชิงจิตวิทยา ก็ถือเป็นการส่งต่อความรัก ความอบอุ่น จากแม่สู่ลูกโดยตรง