posttoday

อนันดา & ซีรีส์เกาหลี ขั้วตรงข้ามที่หากันจนเจอ

14 พฤศจิกายน 2555

นับตั้งแต่ปี 2543 ประชาชนชาวเกาหลีใต้ต่างได้รับชมละครรักโรแมนติกดรามา เรื่อง “Autumn In My Heart รักนี้ชั่วนิรันดร์”

โดย...จตุรภัทร หาญจริง ภาพ (14) ณัฏฐ์ฐิติ อำไพวรรณ

นับตั้งแต่ปี 2543 ประชาชนชาวเกาหลีใต้ต่างได้รับชมละครรักโรแมนติกดรามา เรื่อง “Autumn In My Heart รักนี้ชั่วนิรันดร์” ทางสถานีโทรทัศน์เคบีเอส 2 ต่อมาประชาชนชาวไทยก็มีโอกาสได้บีบเค้นหัวใจไปกับละครรักเรื่องนี้ เมื่อปี 2544 ทางช่องไอทีวี และปี 2552 ทางช่อง 7 สี

หลังจากที่ทรูวิชั่นส์ได้เปิดตัวโปรเจกต์ใหญ่ “ทรู เอเชียน ซีรีส์ (TrueAsianSeries)” ไปเมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา โดยได้พระเอกหนุ่มลูกครึ่งออสเตรเลียลาว “อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม” มาเป็นโปรดิวเซอร์ในโปรเจกต์นี้ ซึ่งมีแผนการว่าจะจัดทำละคร 3 เรื่อง 3 รส (Autumn In My Heart รักนี้ชั่วนิจนิรันดร์, Full House และละครคลาสสิกไทย ประมาณบ้านทรายทอง แต่ยังไม่เปิดเผยอย่างเป็นทางการว่าเรื่องอะไร) ซึ่งคาดการณ์ว่าประชาชนชาวไทย โดยเฉพาะสมาชิกของทรูวิชั่นส์จะได้รับชมเรื่องแรกภายในต้นเดือน เม.ย. 2556 และคาดว่าคนดูจะได้ดูครบทั้งสามเรื่องภายในปี 2556

วันนี้ ผมได้มีโอกาสมาจับเข่าคุยกับโปรดิวเซอร์หนุ่มคนนี้อย่างเป็นทางการ นอกจากรูปร่างหน้าตาและฝีไม้ลายมือทางการแสดง มุมมองความคิดและวิสัยทัศน์ในการเป็นโปรดิวเซอร์ของเขา บอกได้คำเดียวว่า “ไม่ธรรมดาเลย”

อนันดา & ซีรีส์เกาหลี ขั้วตรงข้ามที่หากันจนเจอ

 

“ที่มาที่ไปของโปรเจกต์นี้เหรอครับ คือตอนแรกผมไม่ได้ตั้งใจจะเข้ามาทำตรงนี้ ก่อนหน้านี้เคยช่วยทรูวิชั่นส์ทำหนังทีวี หลังจากทำไปได้ 2 เรื่อง ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้ฉายทั้ง 2 เรื่อง (หัวเราะ) แต่เราก็สนิทกับคุณบอย (อรรถพล) ไปเรียบร้อยแล้ว ที่สนิทเพราะรสนิยมใกล้เคียงกัน คุยเรื่องละครแล้วคุยกันรู้เรื่อง คุณบอยเลยทาบทามให้ช่วยปั้นซีรีส์ให้เขาหน่อย เพราะคุณบอยมีลิขสิทธิ์อยู่หลายเรื่อง พอได้คุยกับคุณบอยเรื่องสไตล์ที่ชอบ ที่อยากได้ แล้วเป็นไปในทางเดียวกัน ผมเลยตัดสินใจทำ แต่ต้องอยู่ภายใต้ข้อตกลงที่ว่า ขอให้งบประมาณถึง และขอให้ได้ใช้โปรดักชันระดับดีๆ (หัวเราะ)”

จากที่ทั้งสองได้ตกลงกันว่าจะทำแค่เรื่องเดียว ทำไปทำมาเลยทำ 3 เรื่องติดต่อกัน สงสัยคงถูกคอ ถูกอกถูกใจกันและกันไม่มากก็น้อย

“ก็ตกลงทำ 3 เรื่อง เรื่องแรกคือ รักนี้ชั่วนิจนิรันดร์ เรื่องที่ 2 คือ ฟูลเฮาส์ และเรื่องที่ 3 เป็นละครแนวคลาสสิกไทย ประมาณบ้านทรายทอง แต่ขออุบไว้ก่อนว่าเรื่องอะไร บอกเร็วไปก็ไม่สนุก (หัวเราะ) เอาเป็นว่าทั้งสามเรื่องนี้มีความโดดเด่นในเรื่องของบท ตัวละครแต่ละตัวก็มีความโดดเด่น และได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงทั้งสามเรื่องครับ”

หลายคนคงสงสัยว่า ด้วยภาพลักษณ์ที่เซอร์ๆ ดิบๆ ติสต์ๆ อย่างอนันดา ทำไมถึงต้องมาเป็นละครซีรีส์เกาหลี โดยเฉพาะเรื่องรักนี้ชั่วนิจนิรันดร์ ที่ดรามาบีบเค้นหัวใจคนดูเอามากๆ

“ผมเป็นคนดรามาครับ (ยิ้ม) และก็ชอบละครแนวดรามาด้วย อีกอย่าง ผมชอบละครที่ไม่ต้องมีตัวละครล้นจอ และซีรีส์เกาหลีก็เป็นไปในทำนองนั้น”

เมื่อตัดสินใจทำในโปรเจกต์นี้แล้ว สิ่งที่เขาพยายามทำ คือ ทำละครที่ไม่เหมือนต้นแบบที่เคยประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม

“ด้วยความเป็นละครที่ฉายทางช่องเคเบิล ผมเลยสามารถทำให้เกิดความแตกต่างได้ อีกอย่างโปรดักชันของละครเรื่องนี้จุดเริ่มต้นมันดีมาก ทำให้ผมสามารถดำเนินงานได้ง่ายขึ้น ทำให้ผมพร้อมจะทุ่มเททำให้เกิดจุดเปลี่ยนบางอย่างของวงการบันเทิงบ้านเราได้” สิ่งที่อนันดาต้องการบอก คงหมายความถึงการที่นำเสนอละครผ่านทางทรูวิชั่นส์ซึ่งเป็นสถานีเคเบิล ไม่มีความกดดันเหมือนฟรีทีวี ซึ่งมีรูปแบบที่ฉีกออกไปได้ยากมาก และกฎเกณฑ์ก็มีเยอะกว่านั่นเอง

อนันดา & ซีรีส์เกาหลี ขั้วตรงข้ามที่หากันจนเจอ

 

ในส่วนของการเตรียมการสร้าง อนันดา เปิดใจว่า เรื่องรักนี้ชั่วนิจนิรันดร์ เตรียมการเสร็จเรียบร้อยแล้ว พร้อมเปิดกล้องในวันที่ 20 พ.ย.นี้ สถานที่หลักๆ ที่ถ่ายทำก็คงจะเป็นที่ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในส่วนของนักแสดงนำก็ออดิชันได้ครบทุกตัวละครแล้ว ซึ่งใครหลายคนต่างจับตามองว่า ใครกันหนอจะมารับบทนางเอกผู้อ่อนหวานที่เป็นที่รักใคร่ของผู้ใกล้ชิด มีชีวิตอันอบอุ่นมาตลอด 14 ปี แต่ต้องพบกับโชคชะตาที่พลิกผัน เมื่อวันหนึ่งเธอได้รู้ความจริงว่า เธอไม่ใช่ลูกสาวที่แท้จริง เมื่อเธอต้องไปอยู่กับแม่ที่แท้จริง เธอก็ต้องไปใช้ชีวิตที่ลำบากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ออม-สุชา มานะยิ่ง นักแสดงจากภาพยนตร์เรื่อง Yes or No 12 คือผู้มารับบทนี้ ซึ่ง อนันดา เผยว่า “สำหรับออม ผมไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่มีแฟนคลับเสนอชื่อน้องเข้ามาทางเว็บไซต์ของทรูวิชั่นส์ อีกอย่างผมมีเบอร์อื่นๆ ในใจ ที่เป็นนางเอกระดับต้นๆ หลังจากที่จัดออดิชัน โดยให้ออมมาออดิชันเป็นคนแรก แต่พอออดิชันเสร็จ ผมก็บอกทีมงานว่าผมชอบคนนี้ ผมเลือกคนนี้ ทีมงานก็ถามว่าไม่ลองดูคนอื่นเหรอ ผมบอกไม่ดู เพราะผมเห็นแล้วว่าออมใช่ การแสดงของเขามันฉีกจากคนอื่นมาก”

รักนี้ชั่วนิรันดร์เวอร์ชันเกาหลี ผู้ที่รับบทนี้คือนางเอกสุดฮอต “ซองเฮเคียว” ที่หลังจากเล่นเรื่องนี้เสร็จ ก็ไปเล่น “ฟูลเฮาส์” ต่อ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จแบบดังเปรี้ยง ผมถาม อนันดา ว่าจะให้ออมเล่นเป็นนางเอกฟูลเฮาส์ต่อเลยไหม

“ผู้กำกับที่ทำฟูลเฮาส์ก็ชอบออมเหลือเกิน จะขอให้เล่นต่อ ผมก็บอกไม่รู้ ต้องคุยกันเอาเอง (หัวเราะ) แต่ผมเชื่อมั่นว่าออมมีศักยภาพที่ค่อนข้างสูง หายากมากคนแบบนี้ ผมชอบตรงที่ว่าลุคเขาน่ารักระดับหนึ่ง เทรนด์ดี้ แต่ไม่ถึงกับแฟชั่น เราเลยมองว่าลุคแบบนี้มันเล่นได้หลายบท”

เมื่อมาประกบกับ ติ๊ก-เจษฎาภรณ์ ผลดี ผู้ที่มารับบทหนุ่มหล่อ ผู้มีพรสวรรค์ในการวาดภาพ สุขุม เยือกเย็น มองโลกในแง่ดี รักและคอยดูแลปกป้องน้องสาว (ที่มารู้ทีหลังว่าไม่ใช่น้องสาวที่แท้จริง) มาตั้งแต่เด็ก จนเกิดเป็นความรักที่ต้องหักห้ามใจ เพราะสามัญสำนึกที่ควรต้องตระหนักถึง อนันดา เผยว่า หลังจากที่ติ๊กและออมได้เวิร์กช็อปร่วมกัน ทั้งสองเป็นนักแสดงที่เคมีเข้ากันมาก

อนันดา & ซีรีส์เกาหลี ขั้วตรงข้ามที่หากันจนเจอ

 

นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งหนุ่มที่หลายคนก็จับตามองว่า ใครกันหนอจะมารับบทพระรองที่ วอนบิน เคยได้รับบทนี้ ที่เป็นเจ้าของธุรกิจโรงแรมชื่อดัง แต่เป็นคนไม่เอาการเอางาน และเป็นเพื่อนสนิทของพระเอกสมัยที่เรียนอยู่ที่อเมริกา อีกทั้งยังตกหลุมรักนางเอกตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น

ปั้นจั่น-ปรมะ อิ่มอโนทัย คือคนที่มารับบทนี้ อนันดา เผยว่า “มีหลายกระแสพูดกันว่าผมจะเล่นบทนี้เอง คือหลังจากเปิดตัวละครเรื่องนี้ เริ่มมีการกดดันว่าจะให้ใครเล่น คนนั้นก็ไม่โดน คนนี้ก็ไม่ได้ ผมเลยถูกกดดัน ทางผู้ใหญ่ก็มากระเซ้าว่าทำไมไม่เล่นเอง ผมก็คิดว่ามันเยอะแล้ว ผู้สร้างด้วย อะไรด้วย เล่นเองอีกเหรอ ก็โชคดีที่มาเจอปั้นจั่น แรกๆ ก็แอบคิดว่าไอ้ปั้นมันจะเล่นได้เร้อ พอได้ไปแฮงเอาต์กันก็เออมันโอเคเลย ปั้นมันมีเสน่ห์มาก เมื่อผมได้เห็นปั้นในแบบที่เป็นตัวของเขาเอง แล้วบอกได้เลยว่าปั้นเหมาะที่จะเล่นบทนี้ และผมก็มั่นใจในตัวเขาครับ”

หลังจากที่ผมนั่งฟังอนันดาพูดไป ยิ้มไป ถึงที่มาที่ไปของโปรเจกต์นี้ รวมทั้งตัวนักแสดงที่จะมารับบทเด่นๆ ผมเห็นแววตาแห่งความสุขของเขา แต่แน่นอนว่าความสุขย่อมมาพร้อมกับภาระที่ยิ่งใหญ่ อนันดา เผยว่า เขาค่อนข้างโชคดีที่มีทีมงานที่ค่อนข้างแข็งแรง มีผู้กำกับที่ค่อนข้างถนัดทางละครดรามา และได้ทำละครซีรีส์ที่รับรองว่าจะต้องถูกปากคนไทยอย่างแน่นอน ซึ่งภาระหน้าที่นี้ของเขา ทำให้เขาได้เรียนรู้คำว่า “มีสติ” ได้มากยิ่งขึ้น

“เอาเป็นว่าผมขอฝากละครที่ผมเป็นโปรดิวเซอร์ไว้ทุกๆ เรื่องเลยนะครับ แม้ว่าจะเป็นละครไทยที่ทำจากละครซีรีส์เกาหลี แน่นอนว่าต้องมีการเปรียบเทียบ แต่ผมมองเป็นเรื่องธรรมชาติที่เราหลีกเลี่ยงไม่พ้น ยังไงผมก็จะตั้งใจทำให้ดีที่สุดครับ”

สำหรับหน้าที่ของคนเสพงานบันเทิงอย่างเราๆ คงตั้งตารอคอยชมผลงานแห่งความตั้งใจของเขา และเป็นกำลังใจให้เขามีแรงกำลังผลิตผลงานละครออกมาอีก เพื่อจะได้ค้นพบ “ความแตกต่าง” อย่างที่เขามุ่งมั่นตั้งใจ